หลังจากที่ผมจับตามองธุรกิจเครือข่ายที่มีความพยายามดำเนินกิจกรรมด้านธุรกรรมออนไลน์เป็นช่องทางหลัก แล้วปล่อยให้การตลาดแบบเดิม (หมายถึง การชวนคนเข้า Office ,เข้าห้องประชุม ปิดการขายโดยไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในการขยายสายงาน) เป็นช่องทางรอง ผ่านมาแล้วระยะหนึ่งก็พอที่จะได้ข้อคิดบางประการ (ยังไม่ใช่ข้อสรุปหรือหลักอ้างอิงใดๆนะครับ) จึงต้องการจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมุมมองของคนคอเดียวกันครับ ว่ากันว่า "เมื่อเหรียญมีสองด้าน ดาบก็มีสองคม" เรื่องของการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซกับธุรกิจเครือข่ายก็คงมีเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกันจริงไหมครับ
เพื่อให้เกิดความเป็นกลางในเนื้อหาผมคงนำเสนอทั้งข้อเด่นและข้อด้อยครับ แม้จะจั่วหัวไว้ว่า "จุดอ่อนของการทำ E-Commerce" ก็คงพอจะทราบกันกลายๆว่านั่นคือการทำ "การตลาด" ของคอลัมน์ผมครับ เพื่อสร้างให้เกิดความน่าสนใจ แหม! ก็ต้องเรียกลูกค้ากันหน่อยจริงไหมครับ แต่เมื่อท่านหลงอ่านมาแล้วก็รบกวนอ่านให้จบนะครับ
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกท่านควรให้ความสนใจก็เพราะว่า เมื่อทราบข้อดีของมันท่านจะได้ขยันทำหรือนำไปปรับใช้ และเมื่อทราบข้อด้อยท่านก็จะได้นำไปปรับท่วงท่า หลีกหนีปัญหาก่อนจะที่มันจะเกิดได้ทันท่วงที เพื่อสร้างโอกาสและลดความเสี่ยงให้กับธุรกิจของท่านเองจริงไหมครับ ทีนี้เวลาเรามองอะไร ก็ควรมองแยกแยะกันทีละมุมมองเพื่อเราจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกมิตินะครับ ผมก็ขอแยกเป็น 3 กลุ่มคือ ลูกค้า/ผู้มุ่งหวังหรือผู้ร่วมธุรกิจที่สมัครเข้ามาใหม่ แล้วไปต่อที่ ลูกค้าระดับแม่ทีมหรือผู้ที่สมัครแล้วกำลังขยายงาน และไปจบที่ผู้ประกอบการนะครับ ขอเริ่มที่ มุมมองของลูกค้า แล้วไปมองต่อที่เจ้าของธุรกิจนะครับ
มุมมองของลูกค้า/ผู้มุ่งหวังหรือผู้ร่วมธุรกิจที่สมัครเข้ามาใหม่
- มีเวลาเพียงพอต่อการฟังระบบการตลาด , ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า , ได้รับข้อมูลค่อนข้างมาก
- เลือกเวลาการทำกิจกรรมฟังระบบการตลาด , การสมัคร , สั่งซื้อสินค้า ได้ตามความสะดวก
- ลดการเดินทาง ทั้งการประชุม การสั่งซื้อ การชำระค่าสินค้า และการรับสินค้า
- แม้ไม่ตัดสินใจสมัคร หรือสั่งซื้อทันที ก็ยังสามารถร้องขอให้มีผู้รับผิดชอบมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้
- มีระบบช่วยทำงาน หรือช่วยอธิบาย ช่วยให้เข้าใจบทบาท ภาระหน้าที่ได้ทันที
มุมมองของลูกค้า/ผู้ร่วมธุรกิจ ที่เป็นแม่ทีม
- สามารถเกิดงานได้ตลอด 24 ชม. แม้กำลังพักผ่อนหรือนอนหลับ เพราะพบว่ากลุ่มที่ตัดสินใจร่วมธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้ Close Sale ก็มีจำนวนไม่น้อย
- มีระบบช่วยทำงาน ร้องขอหรือปรับปรุงข้อมูลบางอย่างได้โดยไม่ต้องติดต่อบริษัทฯโดยตรง
- วางแผนการทำงานได้ มีเวลาและข้อมูลเพียงพอที่จะการคัดแยกกลุ่มเป้าหมายและเตรียมตัว Close Sale อีกทั้งสินค้าบางรายการของบางบริษัทฯ ยังสามารถทำการ Close Sale ได้ทางโทรศัพท์อีกด้วย
- ลดการเดินทาง และสามารถเลือกทำงานในเวลา และพื้นที่ที่ตนเองสะดวกได้
- ลดต้นทุนการตั้งบูท เปิดหน้าร้าน แจกใบปลิว
มุมมองเจ้าของกิจการ/ผู้ประกอบการ
- เปิดโอกาสหรือสามารถต่อยอดไปทำธุรกิจในระดับนานาชาติได้
- ลดต้นทุนในการเปิดศูนย์บริการ (แม้จะเปิดศูนย์บริการก็ยังสามารถทำได้ด้วยต้นทุนที่ลดลง)
- เมื่อเครือข่ายเกิดการขยายตัวเร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลดีกับธุรกิจมากขึ้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และยังเสริมภาพลักษณ์ของการบริการที่ทันสมัย ตอบสนองผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม
- ต่อยอดพัฒนาการบริการหรือการติดต่อกับลูกค้า/ผู้ร่วมธุรกิจด้วยระบบไอทีทันสมัยต่างๆได้ง่าย ซึ่งยังเป็นการลดต้นทุนการดำเนินการในระยะยาวอีกด้วย
ที่นำเสนอมานั้นจัดเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนจากการนำระบบ E-Commerce เข้ามาปรับใช้ในกิจกรรมธุรกิจเครือข่ายครับ และจะเห็นว่าดีมากๆ แต่ผมก็มาคิดว่าแล้วทำไมปัจจุบันยังไม่โต หรือโตก็ไม่โตต่อเนื่องล่ะ! ปัญหามันอยู่ที่ไหนกันบ้าง ก็เลยนำมาเสนอให้ได้ทราบซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทจะพบปัญหานี้นะครับ บางปัญหาไม่ได้เกิดกับบางบริษัท และบางบริษัทก็มีปัญหามากกว่านี้เพราะโครงสร้างต่างกัน เอาล่ะครับ เรามาดูกันดีกว่าว่า ปัญหามันเกิดขึ้นที่ตรงไหนบ้าง โดยขอกล่าวรวมๆทั้งระบบนะครับ
ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบ E-Commerce
- การจัดส่งสินค้ายังมีปัญหาอยู่มากเช่น ระบบการจัดส่งสินค้า, ระยะเวลาในการจัดส่ง, ข้อมูลอ้างอิงในการติดตามทวงถาม การตรวจสอบการได้รับสินค้า เรื่องเหล่านี้ยังไม่มีความสะดวก และนอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอีกด้วย
- การให้การสนับสนุนการทำงานของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการบางรายขาดความเข้าใจและความตั้งใจในการส่งเสริมกิจกรรมในระบบ
- ต้นทุนการจัดส่งสินค้า รวมถึงค่าธรรมเนียมในการชำระผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อาจเป็นผลทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
- ลูกค้าจะต้องเป็นมีความพร้อมในเรื่องความเข้าใจเทคโนโลยี และการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ อาจรวมไปถึงต้องมีบัตรเครดิต
- ความกังวลใจในเรื่องของความปลอดภัยในการชำระด้วยบัตรเครดิต ที่พบว่ามีสถิติการลักลอบใช้บัตรเครดิตสั่งซื้อสินค้า จากสถิติทั่วโลก 1% ถึง 3% จากรายการชำระทั้งหมดที่เกิดขึ้น และค่าธรรมเนียมการรับชำระที่ทางธนาคารจัดเก็บก็ยังเพิ่มปัญหาเรื่องต้นทุนการดำเนินการ
- การทำสแปมเมลล์ของสมาชิกธุรกิจเครือข่าย ที่ยังส่งผลต่อให้เกิดการต่อต้านของสังคม และภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของธุรกิจเครือข่ายนั้นๆ
- สินค้าบางรายการที่ต้องการสัมผัสก่อนซื้อ ยังทำไม่ได้หรือทำได้ก็ยังไม่ดี สินค้าในระบบจึงไม่ใช่ทุกรายการที่จะเหมาะกับ E-Commerce
- การให้บริการหลังการขาย หรือการติดตามงานผ่าน ทางโทรศัพท์, ทางอีเมลล์, ทางระบบ IVR ยังไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะการตอบอีเมล์เคยมีผู้กล่าวว่า “ระยะเวลาเพียง 1 วันของการรอคอยการตอบอีเมล์ อาจยาวนานกว่านั้นในความรู้สึกของผู้บริโภค”
- การบริหารจัดการกับรายการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ การตรวจสอบการชำระค่าสินค้าที่ต้องยืนยันตัวตนของผู้ชำระที่ถูกต้อง อาจถูกมองข้ามหรือขาดการจัดการที่ดีก็สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน
- ทุกกิจกรรมอาจหยุดนิ่งเพราะขาดการประชาสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาออนไลน์ เช่น การลงโฆษณากับเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีราคาสูงและเห็นผลไม่ชัดเจน หรือการใช้วิธีโฆษณาที่พิเศษขึ้นกว่าปกติเพื่อการแข่งขัน ก็ยังมีราคาสูงขึ้นไปอีกทำให้เกิดต้นทุนแฝงในการดำเนินงาน
- สายสัมพันธ์ของสมาชิกในเครือข่าย การสนับสนุนซึ่งกันและกันขององค์กร สายสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับลูกค้า หรือลูกค้ากับบริษัท ยังขาดสีสันและไม่ได้รับการส่งเสริมอย่างเด่นชัด และอาจถูกมองว่าไม่จำเป็นต้องมี แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และทำให้เกิดการหมดกำลังใจ หยุดกิจกรรม หรือย้ายไปทำสายงานอื่น รวมถึงย้ายไปทำบริษัทอื่น อันเป็นผลเสียต่อการดำเนินงานในระยะยาวได้
เอาล่ะครับ ผมขอเสนอปัญหาไว้เพียงเท่านี้ก่อน และขอเรียนให้ทราบว่า ปัญหาที่เสนอไว้ให้นี้แก้ง่ายหากเข้าใจ และปัญหาที่แสดงไว้ไม่ใช่ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงการนำเสนอเบื้องต้นที่ต้องการให้ตระหนักและปรับท่าทีหากต้องการดำเนินกิจกรรมทาง E-Commerce ให้เติบโตและมั่นคงในระยะยาวครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณมีอะไรจะกล่่าวเสริมหรือบอกเล่าอะไรสักนิดไหมครับ?