ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า ที่เราคุยกันถึงเรื่องราวของแผนการตลาดในธุรกิจเครือข่ายกันมายืดยาวหลายครั้งหลายตอน ทีละส่วนสองส่วน จนบางคนอาจเริ่มอึดอัด หรืออาจจะเริ่มเบื่อๆกันบ้างแล้ว ต้องบอกว่า อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนล่ะครับ เพราะนี่แหละครับเรื่องสำคัญ แม้ว่าความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายจะมีหลายองค์ประกอบ แต่การที่สมาชิกผู้ดำเนินธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ ยาก-ง่าย ขนาดไหน ทำแล้วจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างไร จะนำเสนอธุรกิจ นำเสนอสินค้า หรือออกโปรโมชั่นอย่างไร พฤติกรรมการดำเนินธุรกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของหนทางหรือวิธีการที่จะประสบความสำเร็จได้รวดเร็วเพียงใดนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจแผนการตลาดอีกด้วยครับ จนอาจกล่าวได้ว่า สำหรับธุรกิจเครือข่ายนั้น แผนการตลาดแทบจะกำหนดพฤติกรรมทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคเลยทีเดียวล่ะครับ ดังนั้นอย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนล่ะครับเพราะนี้คือสิ่งที่สำคัญมากๆของธุรกิจครับ
แผนการตลาดระบบ Uni-Level
ก่อนอื่นเราลองมาทำให้เข้าใจง่ายๆด้วยการแปลชื่อของระบบนี้แบบตรงๆตัวกันดูก่อนดีกว่าครับ คำว่า Uni หรือ Unique นั้นมีความหมายทำนองว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, กลุ่มเดียวกัน ส่วน Level ก็มีความหมายทำนองว่า เป็นชั้น ดังนั้นเมื่อแปลตรงตัวง่ายๆก็คือ มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วยนั่นเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับแผนการตลาดแบบดั้งเดิมเริ่มแรกคือระบบ Stair Step หรือระบบแบบขั้นบันได ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ
เพื่อความเข้าใจของผู้ที่เพิ่งมาอ่านเจอคอลัมน์นี้ในฉบับนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงขอนำระบบ Stair Step มาเล่าสั้นๆให้ฟังอีกครั้ง (แบบสั้นจริงๆครับ)

ระบบ Stair Step นั้นผู้ที่เป็นสมาชิกมีการบริโภคสินค้าครั้งละนิดคราวละหน่อย คะแนนจะถูกสะสมไว้ตามแผนการตลาด และยังนำคะแนนของทีมงานมาสะสมร่วมด้วยสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ตัดคะแนนทิ้ง ดังนั้นผู้เป็นสมาชิกจะค่อยๆได้รับคะแนนรวมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์การพิจารณา และได้สิทธิ์ในการรับโบนัสที่มากขึ้นตามลำดับ หากแต่เวลาจ่ายโบนัสนั้นเนื่องจากคะแนนเป็นยอดรวมของทั้งกลุ่ม โบนัสที่ได้รับจะต้องถูกหักด้วยโบนัสของสมาชิกในกลุ่มออกเสียก่อน และด้วยเหตุนี้เมื่อสมาชิกได้คุณสมบัติสูงสุดแล้ว และมีสมาชิกใต้องค์กรได้ตำแหน่งเดียวกับตน รายได้จะหดหายไปทันทีครับ
เรื่องนี้คงคล้ายๆกับเมื่อคุณเป็นผู้อำนวยการอยู่ บริหารงานสอนงานจนลูกน้องเก่ง ยอดเติบโตมากๆ จนที่สุดแล้วก็มีการแต่งตั้งคุณสมโชค ลูกน้องเก่าของคุณขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการอีกคน แล้วเอาเงินเดือนของคุณไปจ่ายให้กับผู้อำนวยการคนใหม่ และมีข้อแม้ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งต่อก็ได้ แต่เงินตอบแทนของคุณจะขึ้นอยู่กับผลงานอื่นๆของคุณไม่เกี่ยวกับผลงานของคุณสมโชค ถึงตรงนี้ก็คงได้แค่คิดในใจว่า แหม!!อุตส่าห์ปั้น ถ้ารู้อย่างนี้ล่ะก็....(อ๊ะๆ อย่าได้คิดแบบนี้เชียวนะครับ)

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาของคุณสมโชค โอ๊ะ!! ไม่ใช่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการชนกันของคุณสมบัติหรือตำแหน่ง แผนการตลาดระบบ Uni-Level จึงกำเนิดขึ้น (ไม่ได้บอกว่า Uni-Level เป็นทางแก้ที่ดีที่สุดนะครับ เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่ใช้กัน เพราะบางบริษัทฯก็ใช้ระบบ Uni-Level เป็นแผนหลักเลยโดยไม่มี Stair Step เข้ามายุ่งเกี่ยว) ซึ่งโดยหลักการพิจารณาโบนัสของระบบ Uni-Level นั้นจะกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และจะจ่ายให้ลึกกี่ชั้นก็กำหนดลงไป ลองดูภาพประกอบท่านก็จะเห็นว่าระบบ Uni-Level จะระบุลงไปชัดเจนว่าชั้นที่เท่าไหร่จ่ายกี่เปอร์เซนต์ และเมื่อประมวลผลจะตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป (โดยมากก็รอบละหนึ่งเดือนครับ) ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ เช่นประมวลผลกันเดือนต่อเดือน พอขึ้นเดือนใหม่ก็ล้างออกเหลือศูนย์คะแนนแล้วว่ากันใหม่เป็นเดือนๆไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาพรวมของระบบก็คือ สมาชิกแต่ละคนจะมีผลตอบแทนที่ได้รับจากองค์กรในแต่ละชั้นระบุไว้ชัดเจน ไม่เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ในคุณสมบัติหรือตำแหน่งใด ปัญหาเรื่องการชนกันของตำแหน่งที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นจึงหายไปทันทีจริงไหมครับ ดังนั้นบริษัทที่เลือกใช้แผนการตลาดหลักเป็นระบบ Stair Step จึงมักออกแบบให้มีระบบ Uni-Level ลงไปด้วยในส่วนที่ตำแหน่งชนกันไงล่ะครับ
มาถึงตรงนี้บางท่านก็อยากทราบว่าแผน Uni-Level มีข้อเสียอย่างไรบ้าง (เพราะที่พูดมาแล้วนั้นเรื่องดีทั้งหมด) ก็ธรรมดานะครับมีเรื่องดีก็มีเรื่องเสีย ที่เห็นชัดก็คือ ระบบ Uni-Level นั้นมีการตัดยอดแต่ละรอบมาคำนวณจ่ายเป็นงวดๆชัดเจน เมื่อคำนวณจ่ายแล้วก็ล้างออกแล้วเริ่มสะสมกันใหม่ และผลประโยชน์ที่ได้รับมักมีการแกว่งตัว เนื่องจากการบริโภคสินค้าของสมาชิกในองค์กรไม่สม่ำเสมอในทุกรอบ ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม การใช้ระบบ RollUp , การให้ผลประโยชน์แบบไม่จำกัดชั้น (Infinity) หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Binary หรือ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นแล้วการล้างคะแนนทิ้งไปในแต่ละรอบการคำนวณจะทำให้ Uni-Level ขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียวครับ
เอาละครับสำหรับเรื่อง Uni-Level คงจบลงเพียงเท่านี้ และครั้งต่อไปอย่าพลาดกับเรื่องราวของแผนระบบ Binary และ Tri-Nary ที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากอีกระบบในปัจจุบัน โดยเฉพาะแวดวงธุรกิจเครือข่ายเมืองไทย
สวัสดีครับ
ผมชอบธุรกิจเครือข่ายครับเพราะฉะนั้นผมจึงอยากได้ความรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงอยากขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีครับแล้วจะติดตามใหม่นะครับ
ตอบลบ