17 พฤศจิกายน 2557

สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน

วิดีโอนี้ใช้เชือกและรอกมาสื่อเรื่องความเชื่อมโยงได้อย่างเห็นภาพนะครับ ถึงแม้อารมณ์และความรู้สึกในรายละเอียดจะไม่สามารถเชื่อมโยงเป็นกลไกเพื่อเชิดชักแบบหุ่นกระบอกก็ตาม ทำให้นึกไปถึงหลากหลายเรื่องที่เชื่อมโยงเราเข้ากับสิ่งต่างๆ จักรวาลนี้ช่างละเอียดอ่อน ดังนั้นผมจึงแชร์เรื่องนี้ ไม่ใช่แค่จะกระตุ้นเตือนเรื่องเมาไม่ขับ แต่จะบอกว่า "จะทำอะไรคิดถึงผลกระทบให้เยอะๆเข้าไว้ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง" ครับ

This video using rope and pulleys to present about the connectivity of something will change when someone do something. although emotions and feelings in detail will not be linked like a puppetry mechanism do. and this clip get me think of connectivity from us and everything. this university are sensitively , So I am sharing this clip. But , not only are urged just about "who's drunk don't drive" , but I would to say that. "re-think of the impact before act".

29 ตุลาคม 2557

get mac address from command line

จะอ่านค่า Mac Address ของ Network Adepter ในเครื่องได้อย่างไร งานนี้มีคำตอบแล้วครับ

getmac


getmac /v /fo list


getmac /?


getmac /fo csv > getmac.txt


"Physical Address","Transport Name"
"74-D0-2B-07-DF-9D","Media disconnected"
"60-6C-66-32-FE-9C","\Device\Tcpip_{D63F431E-CD0A-415F-84A8-76E2E1F0752A}"
"60-6C-66-32-FE-A0","Media disconnected"

04 กรกฎาคม 2557

แนวคิดเรียบง่าย เพื่อการมีความสุขเพิ่มขึ้น

เก็บฟอร์เวิร์ดเมลล์ดีๆมาฝากกันตามเคยครับ วันนี้เป็นเรื่องของแนวคิดครับ

แนวคิดเรียบง่าย เพื่อการมีความสุขเพิ่มขึ้น

1. อย่าสอนลูกให้หาเงินเก่ง แต่สอนลูกให้เป็นคนมีความสุข เพราะเมื่อลูกโตขึ้น จะได้เรียนรู้เรื่อง ”คุณค่า" ไม่ใช่เรื่อง “ราคา"

2. จงเลือกกินอาหารที่เป็นยาบำรุงสุขภาพ มิฉะนั้น จะต้องกินยาเป็นอาหาร

3. คนที่รักคุณจริง จะไม่ทอดทิ้งคุณ แม้จะมีข้อเสียเป็นร้อย แต่เขาจะพยายามหาข้อดีของคุณแม้จะมีเพียงข้อเดียว เพื่อที่จะอยู่กับคุณต่อไป

4. มีความแตกต่างหลายหลากในคนเรา แต่มีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะถ้ารู้ ปัญหาความขัดแย้งกัน คงมีน้อย

5. คนเราถูกรัก 2 เวลา คือ ตอนเกิดและตอนตาย ตอนเกิดคนรักเรามีไม่มาก 
ตอนตาย อาจมีน้อยกว่า ถ้าเราไม่รู้วิธีจัดการกับชีวิตในระหว่างนั้น

6. ถ้าต้องการเดินให้เร็วขึ้น ต้องเดินคนเดียว แต่ถ้าต้องการเดินให้ได้ไกล ให้เดินด้วยกัน

7. หมอที่ดีที่สุดในโลกคือ แสงแดดอ่อนๆ การพักผ่อน การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีประโยชน์ความมั่นใจในตัวเอง และ การมีเพื่อนที่ดี..!!!

ไว้เห็นอะไรดีๆ จะเก็บมาฝากกันใหม่นะครับ 
เช่นเคยครับ ใครพอทราบว่าเรื่องนี้เป็นต้นฉบับงานเขียนของใครรบกวนแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับ จะได้ใส่เครดิตให้ถูกคนครับ


03 กรกฎาคม 2557

ก้อนกรวดเสี่ยงทาย

เศรษฐีคนหนึ่ง ชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาวเศรษฐีบอกชาวนาว่า

"ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้" แต่ชาวนาไม่ตกลง เศรษฐีจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม ข้าจะหยิบกรวดสองก้อน ขึ้นมาจากสวนกรวด ใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย" ครั้งนี้ชาวนาตกลง

เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ลงในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ เธอจะทำอย่างไร? หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงาน กับเศรษฐีขี้โกง แต่หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้ แต่บิดาของเธอ ก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐี ต่อไปอีกนาน

เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มอง ปัญหาแบบขาวกับดำ แต่ไม่ใช่ทุกปัญหา สามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำ เสมอไป ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหา มีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ และการยืดหยุ่นพลิกแพลง ไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือ ในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่ โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ

ลูกสาวชาวนา เอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน พลันเธอปล่อยกรวด ในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาว ของสวนกรวด เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า

"ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอ ปล่อยหินร่วงหล่น แต่ไม่เป็นไรนี่นาก็ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำ อย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้ ดังนั้นเมื่อเรา เปิดถุงออก ดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า กรวดที่ข้าหยิบไป เมื่อครู่เป็นสีอะไร"

เมื่อหญิงสาวเปิดดูและพบว่าที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำจึงเอ่ยต่อไปว่า

"ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตก ย่อมเป็นสีขาวอย่างไม่ต้องสงสัย"

เหตุการณ์เป็นดังนี้ทำให้ หญิงสาวได้ช่วยชาวนาให้ชนะการพนันในครั้งนี้และพ้นสภาพลูกหนี้ ส่วนลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "หากเราพยายามมากพอ ที่จะแก้ไขปัญหา เราจะพบว่าทุกปัญหา ย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ"

22 ตุลาคม 2555

ปีที่ผ่านมานี้ คุณเลื่อนมากี่ชั้นแล้ว?



แต่ละคนมีโอกาสเจอบททดสอบของชีวิตในวันเวลาและความยากง่ายต่างๆกันไป เหล่านี้เป็นของส่วนตัวแต่ละคนก็มีรายละเอียดที่ไม่เหมือนกัน แต่ที่ดูจะเหมือนกันอยู่ก็คือ เมื่อเจอแล้วสอบผ่านก็จะได้เลื่อนชั้น แต่ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องเรียนซ้ำๆเจอแบบทดสอบนั้นวนมาทดสอบเราอยู่บ่อยๆ

หลายๆครั้งที่คุณจะพบว่า เมื่อคุณได้แก้ปัญหาบางอย่างสำเร็จ คุณจะไม่แค่รับรู้ว่า เออ..มันผ่
านไปแล้ว แต่คุณจะรู้ว่าผ่านมันมาได้ยังไง อีกทั้งในระดับที่ละเอียดอ่อนขึ้นกว่านั้น สภาวะจิตใจของคุณเติบใหญ่ และถูกยกระดับขึ้นกว่าเดิมซึ่งมันหมายถึงคุณ "สอบผ่านได้เลื่อนชั้น" และที่น่ายินดีกว่านั้นคือ แบบทดสอบอีกหลายๆแบบในระดับเดียวกันจะไม่สามารถมา "ตอแย" อะไรคุณได้อีก เพราะมันเหมือนกับเอาวิชาคณิตศาสตร์เด็กอนุบาลมาให้นิสิตปี 4 คณะวิศวฯ ทำนั่นเองผลคือ "ไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน"

ผมเขียนข้อความสั้นๆสองสามย่อหน้านี้ เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับมวลมิตรเพื่อนร่วมเส้นทางชีวิตทุกท่านที่ได้ผ่านมาเจอกัน ผมเชื่อเหลือเกินว่าเมื่อทุกท่านผ่านบททดสอบของชีวิตมาแล้วในวันที่ผ่านๆมา ท่านจะเข้มแข็งขึ้น พัฒนาขึ้น เยี่ยมยุทธขึ้น ทุกๆอย่างในชีวิตของเราจะถูกยกระดับขึ้น และเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ....อย่างไรก็ตาม อย่าท้อ อย่าถอดใจ เมื่อเจอบททดสอบใหม่ เพราะทุกครั้งที่ผ่าน มันหมายถึง เราได้เรียนรู้ ได้แต่งเติมชีวิตด้วยเรื่องราวที่หลากหลาย ได้สัมผัสกับตัวเราเองในระัดับชั้นที่สูงขึ้น ในแบบที่ใครๆก็นึกตามได้ลำบาก ... เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอบททดสอบผ่านเข้ามา ขอให้คิดไว้เลยว่า "มาสิ...มากันเยอะๆ...มาทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น...แกร่งขึ้น...เติบใหญ่ขึ้น...ฉันนี่แหละจะผ่านไปให้ได้" ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนที่ได้ผ่านจนจบ ผ่านได้ทุกบททดสอบชีวิตครับ

20 ตุลาคม 2555

Line Application ไม่สะดวกเ่ท่าไหร่ (ก็เพราะเราใช้ผิดประเภท)



ยุคนี้เทคโนโลยีพัฒนากันอย่างเต็มที่จนทุกอย่างสะดวกรวดเร็วกันไปซะหมดครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการสื่อสารนั้นดูเหมือนว่าโลกของเรารวมถึงในอวกาศจะไร้พรมแดนจริงๆไปซะแล้ว แถมมีผู้ให้บริการให้เลือกหลากหลายทั้งแบบ Social Network , Group Broadcast และแบบ Personal Message บางค่ายก็ผสมผสานเอาไว้ทั้งหมด มีทั้งฟรีและจ่ายตังค์ ที่คุณๆคงเคยได้ยินได้ใช้กันบ้างแล้ว เช่น Facebook , Twitter , Line , On , Viber , Quebie , Skype  ect. โดยที่มันยังมีข้อดีมากกว่าระบบเก่าหลายอย่าง ทั้งสะดวกรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า

เรื่องความสะดวกคงมีคนพูดถึงเยอะแล้ว ผมเลยแหวกแนวมาบอกเรื่องไม่สะดวกของสิ่งเหล่านี้กันบ้าง โดยเฉพาะปัญหาที่เพิ่งเจอมากับ Application สุดฮิตที่ชื่อ Line ของ http://line.naver.jp/th/ อันเนื่องมาจากในองค์กรธุรกิจของผม เรานิยมใช้ Line เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นที่พอใจในความสะดวกรวดเร็วและความตอบสนองการใช้งานได้กว้างขวางของมัน อีกทั้งยังติดตั้งลงในเครื่องหลากหลายตระกูล ทั้ง iPhone, iPad , Android , Black Berry รวมถึงเครื่อง PC และ Notebook ฟังก์ชั่นปรับใช้เป็นการสื่อสารระดับ บุคคล-กับ-บุคคล , บุคคล-กับ-กลุ่มบุคคล ไปจนถึง บุคคล-กับ-บริษัทฯ

แหม..ที่เล่ามานี่มีแต่ข้อดีทั้งนั้นเลย ... ก็อย่างที่บอกว่าเราใช้กันอย่างกว้างขวางครับ แต่ไอ้ที่ว่าไม่สะดวกคือการใช้เป็นสื่อสำหรับแจ้งงานระหว่าง บุคคล-กับ-บริษัทฯ ในกรณีที่เป็นเรื่องรายละเอียดมาก แต่อาจต้องยืนยันหรือสอบทานความเข้าใจกันหลายรอบ เพราะอาจดูเหมือนสะดวกผู้แจ้ง แต่สำหรับผู้รับต้องบอกว่าไม่สะดวกเท่าไหร่เลยครับ ดัวยเหตุผลว่ามันถูกออกแบบมาให้ใช้พูดคุยในกลุ่มซะมากกว่าที่จะใช้กรณีเพื่อติดตามงาน เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมจะแจงเป็นหัวข้อไว้เท่าที่นึกออก ซึ่งอาจไม่ชัดเจนรอบด้านถึง 360 องศาเพราะนี่ก็ไม่ใช่เนื้อหาในหนังสือเรียน แต่เขียนจากประสบการณ์ตรงครับ เอาล่ะเรามาลองดูกันเลยว่าเพราะอะไรมันจึงไม่สะดวกผู้รับ
1.หัวข้อเรื่องอยู่ที่ไหน? เนื่องจากผู้ส่งทุกราย สามารถส่งเรื่องเข้ามาได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องระบุหัวข้อเรื่อง หรือแม้อยากจะระบุก็ไม่มีช่องให้ระบุแยกจากข้อความได้ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญและจัดเวลาดำเนินการได้ ... ต้องค่อยๆดูค่อยๆทำ? และปัจจุบันผู้แจ้งเรื่องเข้ามามีปริมาณพอสมควรเลย ทุกอย่างก็เลยยิ่งวุ่นกันเข้าไปอีกครับ
2.อยากรู้ต้องอ่านทั้งชิ้น? เมื่อมีข้อความเข้ามา ก่อนผู้รับจะเปิดดูจะเห็นแค่ส่วนสั้นๆของข้อความนั้นๆ กรณีส่งมายาวๆ ผู้รับจะเห็นข้อความสุดท้ายซึ่งต้องทำให้ต้องเปิดอ่านก่อนจึงจะทราบเรื่องทั้งหมด ทั้งที่ความจริงอยากรู้คร่าวๆเพื่อแยกหมวด (อยากรู้แค่ จากใคร เรื่องอะไร เป็นต้น) ตรงของดั้งเดิมอย่าง Email ทำได้ดีอยู่แล้ว
3.ดูแล้วต้องทำ? ถ้ายังไม่ทำต้องจำไว้เอง (ไม่เตือนแล้วนะ) เมื่อเปิดดูแล้ว ไม่สามารถตั้งค่า ยังไม่อ่าน/เตือนฉันภายหลัง หรือทำครื่องหมายไว้ให้ทราบว่ารายการนี้ยังไม่ได้ทำ เหมือนที่มีใน function ของ Email
จากทั้ง 3 ประการดังกล่าว ผู้รับแจ้งจึงไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญ หรือบริหารเวลาได้ และหากเปิดดูแล้วสถานะการแจ้งเตือนจะหายไป การค้นหาเรื่องกลับมาใหม่ ต้องจำให้ได้ว่า User ที่ส่งเรื่องเข้ามานั้นใช้ user id อะไร ซึ่งบางรายตั้งชื่อภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ชื่อเล่น ไปจนถึงนามแฝง และอีกประการก็คือ
4.ข้อมูลหายไปไหน? บ่อยครั้งที่ยังพบว่า ข้อความเก่าที่เคยพูดคุยกันไว้แล้วนั้น ถูกลบหายไปเองจากระบบโดยค้นคืนใดๆไม่ได้ ดังนั้นจะคิดว่าแจ้งผ่านช่องทางนี้แล้วจะมีหลักฐานอ้างอิงได้ก็ไม่แน่เสมอไปครับ ใครใช้บ่อยๆจะเข้าใจดี
5.รู้ได้ทันทีว่าผู้รับสารได้อ่านแล้ว? มันมีส่วนแจ้งผลกลับด้วยครับว่้า "ผู้รับปลายทางอ่านได้อ่านข้อความหรือยัง" ตรงนี้เป็นเรื่องดีนะครับสำหรับการสื่อสาร เพราะในฐานะผู้ส่งเราอยากรู้ว่าเค้าได้รับมั๊ย แต่ท่านครับถ้าอ่านที่ผมพูดถึงมาตั้งแต่ต้นจะพบว่า หากนำมาใช้ในงานจริงๆ ยังไงเค้าก็ต้องเปิดเพราะเค้าไม่รู้ว่าท่านแจ้งเรื่องอะไรเข้ามา แต่เปิดแล้วอาจจะยังไม่ได้จังหวะทำ หรือเขาอาจไม่เปิดเลยจนกว่าจะได้จังหวะทำเพราะกลัวเรื่องการที่มันจะไม่สามารถตั้งค่าให้เตือนรอบสอง แล้วข้อความแจ้งนั้นๆจะหลุด focus , อีกทั้งผมเคยลองเปิดใช้จาก PC บางครั้งยังไม่ได้อ่านแต่ผู้ส่งได้รับข้อความว่าผมอ่านแล้วด้วย เขาเลยคิดว่าผม "รับแล้วเมินเฉย... เป็นเรื่องเลยนะนั่น"

ดังนั้นผมคิดว่าเราควรจัด Line Application เป็น "การสื่อสารทางเลือก" ที่เพิ่มความสะดวก แต่จะให้มีหลักมีฐาน ส่งเอกสารอ้างอิงได้ และติดตามได้ง่าย โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเร่งด่วนนั้น อย่าเพิ่งแน่ใจครับ หากจะใช้จริงๆก็ขอให้แน่ใจว่ามีผู้ตอบรับและได้ส่งข้อความกลับมายืนยันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเรื่องที่ส่งเข้ามาอาจไม่ได้ถูกดำเนินการในช่วงเวลาที่ต้องการก็ได้ครับ จบห้วนๆแบบนี้แหละครับ ไว้เจอกันใหม่ในเรื่องต่อๆไป ขอให้ทุกท่านโชคดี ...สวัสดีครับ


24 กันยายน 2555

เด็กๆ-ฟ้าฝน-และคนมีหัวใจ

เรื่องนี้เล่าจากเหตุการณ์จริง ที่บันทึกไว้ใน Facebook ของผมก่อนนี้ราวๆปีเศษ หลังจากเกิดเหตุการณ์จริงเพียง 1 คืน ซึ่งภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นยังแจ่มชัดลงรายละเอียดระคนความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องกับความสำเร็จเล็กๆที่หมายว่าจะโตขึ้นตามตัวลูกชาย เลยนึกอยากจะแบ่งปันความรู้สึก หลังจากบันทึกก็ได้แบ่งปันให้เพื่อนๆที่สนิทกันได้อ่าน (ง่ายๆก็เอาไปโม้เขาแหละ) กระทั่งเวลาผ่านมาปีกว่าผมย้อนไปอ่านมันใหม่อีกรอบ ก็ยังคงรู้สึกว่าดูมีอรรถรสกว่าการ สรุปเนื้อหาแบบแห้งๆ "มีแต่เหตุ,ผลและสิ่งควรทำเป็นข้อๆ" ดังนั้นเรื่องนี้น่าประโยชน์กับผู้อื่นหากนำมาขยายเป็นวงกว้างกว่า จึงนำมาโพสต์ไว้ที่นี่ คิดเห็นอย่างไรติชมได้ตามสะดวกครับ

28/07/2011 23.35 น้องก้อง เด็กชายอายุ 2 ปี 11 เดือน 8 วัน นอนกกหมอนข้าง หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขไปเขาหลับไปตั้งแต่สองทุ่มกว่าๆ ในห้องนอนที่เปิดเครื่องควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 27 องศา ในตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิดตามปกติวิสัย หากไม่มีอะไรขัดจังหวะคงนอนแบบนี้ไปได้ถึงเช้า เขา (เขาคนนี้คือเขาคนไหนไม่รู้ได้) เล่าต่อๆกันมาว่าตอนเด็กๆนอนหลับสนิทจะช่วยให้ยืดตัวเติบโตไปพร้อมๆกับสมองและร่างกายน้อยๆนี้จะได้พักผ่อน .... ดูเหมือนคืนนี้จะเป็นคืนที่สงบสุขของเด็กๆอีกหนึ่งคืน

แต่เรื่องของฟ้าฝนจะเอาอะไรแน่นอนได้เล่า ยังไม่ทันจะผ่านพ้นไปถึงเที่ยงคืนก็ปรากฏว่า น้ำฝนร่วงหล่นลงดินรวดเร็วและมากมายประหนึ่งหลังคาท้องฟ้าจะทะลุ เป็นผลให้บรรยากาศโดยรวมมีความชื้นสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น และสะดวกต่อการจะแลกประจุไฟฟ้าระหว่างเมฆแต่ละก้อน เกิดเป็นแสงอันวาบสว่างเพียงชั่วครู่อันเกิดจากการ "อิเลกตรอน" เจ้าแหล่งพลังงานในรูปประจุไฟฟ้าตัวน้อยๆ กระโดดออกจากเมฆก้อนหนึ่งไปหาเมฆอีกก้อนหนึ่ง อยู่เป็นระยะๆ อย่างที่เราเรียกกันว่า "ปรากฏการณ์ฟ้าแลบ" เมื่อเกิดแสงวาบครั้งหนึ่งๆ ท้องฟ้าที่มืดมิดเมื่อสักครู่นี้จะกลายเป็นท้องฟ้าสีเทาที่มีแสงสว่างระเรื่อๆ ทั้งยังมีแสงกระพริบ วับวาบ แปลบปลาบ เป็นระยะๆ จากปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ครั้งไหนที่แลกประจุกันมากหน่อยก็จะมี "ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง" อันเกิดจากเสียงที่เจ้าอิเลกตรอนจำนวนมากวิ่งแหวกมวลอากาศดังเสียงครืนๆตามมาเป็น "ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง" ไม่นานนักเกิด "ฟ้าผ่า" ที่ไหนสักแห่งและตามมาด้วยเสียงที่ดังกว่าฟ้าร้องมาก เจ้าเด็กน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมร้องไห้จ้า เพราะคลำหาแม่ในความมืดไม่เจอ แน่ละแม่ลงไปรีดผ้าอยู่ชั้นล่างตามวิสัยแม่บ้านคนขยัน ย่องหนีลูกออกจากห้องนอนไปด้วยความไวไม่แพ้เจ้าอิเลกตรอน..

เพียงครู่เดียวผู้้เป็นพ่อก็ออกจากห้องทำงานมาถึงตัวลูกชายได้ก่อนแม่ ลูกก้องยังร้องต่อด้วยความกลัวระคนตกใจ "จะเอาแม่ จะเอาแม่อย่างเดียว" ก้องทั้งพูดทั้งปัดป้องและดิ้นหนี ในนาทีที่ตกอยู่ในอารามตกใจจะเห็นได้ว่า "ระบบปกป้องตัวเองตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอด" จะเข้ามาควบคุม การคิด การทำ การรู้สึก อย่างเห็นได้ชัดทีเดียวและแสดงแบบเดียวกันนี้โดยไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่นั่นคือ อาการทุรนทุรายจะหนีออกจากสถานการณ์ ขาดสติ ไม่รับฟังสิ่งใดๆ หากไม่ทำให้ได้สติก่อนคงคุยกันได้ยาก พ่อเลยต้องรอและยอมตามให้ลูกสงบลงเล็กน้อย ลูกสงบสติอารมณ์ลงได้รวดเร็วเพราะวางใจจากคำพูดของพ่อว่า "ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร ป๊ะป๋าจะปกป้องน้องเอง" พร้อมการกอดและลูบไปตามแผ่นหลัง เมื่อเริ่มสังเกตเห็นความคืนสติรับรู้เหตุผล ก็เอ่ยถามขึ้นว่า

พ่อ : กลัวมั๊ยลูก ก้องกลัวเหรอลูก
ก้อง : (พยักหน้ารับ) ก้องกลัว
พ่อ : ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรทำร้ายลูกได้ ป๊ะป๋าจะปกป้องน้องเอง (พูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมพยักหน้า)

ก้องเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งแล้ว ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า สัตว์ที่เกิดในหน้าฝน จะชินกับฟ้าร้องฟ้าผ่าได้ดีกว่าเด็กในหน้าร้อน เพราะผมฟังต่อๆมาจากคุณตาคุณยายอีกรอบ มันเป็นเรื่องจริงแต่เป็นกับสุนัขที่ท่านเลี้ยง การพึ่งตนเองและการรับรู้ของมนุษย์ในวัยไม่ถึงปี กับสุนัขวัยไม่ถึงปีนั้นมีความพร้อมแตกต่างกัน สุนัขวิ่งเล่นได้แต่เด็กในวัยนั้นยังหัดเดิน อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นแบบนี้ ด้วยความเป็นพ่อผมไม่อยากให้ "ความตื่นกลัว" อยู่กับลูกผมนานนัก ผมอยากให้ "ความตื่นรู้" เกิดขึ้นและฝังรากลงไปในตัวของลูกน้อยมากกว่า เห็นทีวันนี้จะต้องจัดการซะให้จบ 

ผมค่อยๆดึงตัวลูกมากอด อุ้มเห่ไปมาสลับซ้ายขวา พร้อมใช้มือทำท่าทางประกอบการ อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้เพราะอะไร เล่าซ้ำๆ ถามซ้ำๆ ตามความเหมาะสมที่เด็กอายุสองขวบกว่าๆจะรับรู้ได้ทั้ง "เหตุ" และ "ผล" ของ "สถานการณ์" ที่เขากำลังเผชิญอยู่ให้ได้มากที่สุด เมื่อความรู้ความเข้าใจถูกบรรจุลงในหัวสมองเรียบร้อย ขณะที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่เห็นฝนฟ้าคะนองกระจายได้อย่างถนัดชัดเจน อาการเกร็งตัวเวลาฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงร้อง หมดไปโดยสิ้นเชิง แม้จะเหลือคราบน้ำตาอยู่บ้าง แต่เมื่อเสียงฟ้าผ่าเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ปรากฏอาการร้องไห้ตกใจกลัวแบบเดิมอีกเลย ผู้เป็นพ่อถามลูกก่อนจะจบกระบวนการและส่งเข้านอนว่า

พ่อ : ก้องไม่กลัวแล้วใช่ไหมลูก (มองตา พร้อมพยักหน้า)
ก้อง : (พยักหน้ารับ) ครับ 
พ่อ : ใช่ลูก ก้องไม่กลัว ก้องแค่ตกใจ
ก้อง : ก้องแค่ตกใจเหรอ (ทวนคำตามรูปถามยืนยันเพื่อบันทึกข้อมูลใหม่..แต่ยังมีอาการสงสัยต่อ)
พ่อ : ใช่แล้วลูก (รีบสำทับรับคำเพื่อบันทึก และป้อนข้อมูลใหม่) ก้องตกใจนิดเดียวเอง เสียงมันดัง แต่ก้องไม่กลัว
ก้อง : (ยิ้มรับ พร้อมพยักหน้า) 

เอาล่ะ...จบกระบวนการ Build Up ของผมแล้ว ผมเห็นแล้วว่าลูกพร้อมจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่าง "รู้เหตุรู้ผล" แล้วและในคืนนี้เขาจะหลับอย่างเป็นสุข ตามความคิดของผม (ต่อไปผมอาจเรียกทฤษฏีของผม เพราะทำไปโดยธรรมชาติไม่เคยอ่านจำมาจากที่ไหน) เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก หากเขาระลึกได้ถึงเรื่องนี้ เขาจะไม่กลัวเพราะเขารู้กลไกของมัน มันเกิดอย่างไร และดับลงเพราะอะไร ส่งผลกระทบกับเราอย่างไรบ้าง และเราต้องทำอย่างไรให้ไม่เกิดผลกระทบกับเรา แม้หากเขาตื่นกลัวขาดสติไปบ้างในครั้งต่อไป ผมก็คิดว่าทำเพียงถามนำเขาว่า "นี่มันคือเสียงอะไร..ฟ้าร้องเหรอลูก...มันเกิดจากอะไร?" ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตาม "ความตื่นรู้" ที่ฝังรากลงในตัวเขาแล้วและค่อยๆเติบโตขึ้นตามการเติมเต็มจากสิ่งรอบข้างต่อไป

 วันนี้ผมเรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกว่า ...
1. ทัศนคติของเรา เปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลที่เราได้รับ ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจที่ถูกต้องจะสามารถเปิดใจและนำเอาข้อมูลใหม่ๆ ใส่ให้เขาและสามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้
2. ความคิดคนที่เปลี่ยนไป สามารถเปลี่ยนการกระทำของเขาได้
3. ชีวิตคนขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำที่แสดงท่าทีออกไปต่อสภาำพแวดล้อม เมื่อความคิดและการกระทำเปลี่ยนไป อาจพูดได้ว่า เราเปลี่ยนหรือปรับ "วิถีชีวิต" ของเขาได้
4. เมื่อเราขาดสติ เรากลายเป็นคนโง่ได้ง่ายๆ
5. เปลี่ยนคนได้ด้วยความคิด พลิกชีวิตได้ด้วยการหยั่งรู้ (รู้เท่าและรู้ทัน) 

หลังจากผ่านคืนนี้ไป ลูกก้อง ของป๊ะป๋าจะ "แค่ตกใจ ...แต่ก้องจะไม่กลัว" ในสถานการณ์ต่างๆ และค่อยๆโตไปพร้อมๆกันทั้งกายและจิต ภาระกิจของพ่อคนนี้ยังไม่จบ บทเรียนใหม่ของเจ้าลูกชายกับพ่อหัวคิดซับซ้อนคนนี้จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป...

20 พฤษภาคม 2555

ของแบบไหน ยิ่งใช้ยิ่งมี

เพิ่งโพสต์ข้อความลงใน Twitter , Facebook ในหมวด #khamkid (คำคิด) ไปว่า.. "ความพยายาม ความสามารถ และความอดทน ยิ่งใช้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น #khamkid" ผ่านไปไม่นาน เห็นมีคนกดไลค์ก็เลยอดใจไว้ไม่ได้ ... อยากจะขยายความ 55+ เพราะคิดๆไปแล้วก็ไม่ได้เขียนบันทึกมานานเหมือนกัน ก็เลยขอเขียนอะไรสักหน่อยละกัน....นิ๊ด..ด…เดียวครับ

ก่อนหน้านี้มีน้องๆเพื่อนร่วมงานบางคนเคยเปรยๆบอกว่า "อยากอดทนได้เก่งเหมือนพี่จังเลย" ตอนนั้นผมคิดไปว่า เอ..ตูเนี่ยนะอดทนเก่ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นตัวเราเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องมันจะรุนแรงจนถึงขั้นต้องอดทนอะไรเลย เมื่อคุยกันสักครู่แชร์กันอยู่สักพักแล้วก็เลยได้แนวคิดที่กำลังจะเล่านี้ มาเป็นบทสรุปครับ

ความจริงแล้วไม่มีใครอดทนเก่งมาตั้งแต่เกิดครับ ไม่มีใครถูกสร้างมาให้ต้องมาอดทน แต่ความสามารถในการอดทน มันเริ่มจากยอมอดทนในเรื่องเล็กๆน้อยๆก่อน เมื่อผ่านได้แล้ว เราจะแข็งแกร่งขึ้น จนเราแทบจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องคล้ายๆแบบเดียวกันนั้นอีกเลย จนบางคนก็ลืมไปเลยว่าเรื่องที่ผ่านมานั้นต้องใช้ความอดทนมากขนาดไหนกว่าจะผ่านมันมาได้  ความอดทนมันจะเพิ่มขึ้นเองในแต่ละครั้งจนตัวเราเองแทบไม่รู้ตัวเลยครับ

ถึงตรงนี้ใครยังไม่เห็นภาพ ยังคิดไม่ออก ก็ลองนึกถึงนักวิ่งมาราธอนนะครับ บางครั้งถ่ายทอดออกโทรทัศน์เห็นเขาวิ่งข้ามจังหวัดกัน เป็นผมก็โอย..ย เอาสัก 20-30 กิโลก็คงหาต้องใช้บริการนวดแผนโบราณกันแล้ว บางคนแซวว่า เผลอๆอาจส่งโรงพยาบาลเลยพี่ (ฮา) บางคนบอกเสียเวลาไปวัดเลยละกัน แหม..นั่นก็ดูถูกกันเกินไป๊! เข้าเรื่องอีกที ลองคิดดูสิครับว่า ถ้าพี่นักวิ่งเนี่ย เค้าไม่เคยซ้อมวิ่ง 10-30 กิโลเมตร เป็นเดือนๆให้เกิดความอดทนแล้วเพิ่มเป็น 60-100 กิโลเมตรมาก่อน หรือถ้าหากใครชินกับการใช้ชีวิตนั่งๆเดินอยู่ในห้องแอร์แบบพนักงานออฟฟิตมาตรฐาน แล้วจู่ๆก็ให้ลุกขึ้นวิ่งข้ามจังหวัดแบบนี้เนี่ยจะไหวมั๊ย เรื่องแบบนี้มันก็มีเค้าโครงเดียวกันแหละครับ

จึงนำมาบอกเล่าไว้ และขอให้เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครที่คิดว่าตัวเองไม่ค่อยมีความอดทน หรือใครที่อดทนเก่งอยู่แล้วแต่อยากจะอดทนให้ได้มากขึ้น (หรืออยากมีความสามารถ มีความพยายามให้มากขึ้น) วิธีก็คือพยายามอดทนให้มากขึ้นในเรื่องที่ไม่สามารถทนได้เนี่ยแหละครับ เอาล่ะว่าจะเขียนนิดเดียว ยาวอีกแล้วจบด้วนๆ ตรงนี้เลยดีกว่า หมั่นออกกำลังกาย กายก็มีกำลัง หมั่นออกกำลังใจ ใจก็มีกำลัง ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็ง กำลังกายที่สมบุรณ์ครับ

ดึกแล้ว... โชคดีมีสุขทุกท่าน ราตรีสวัสดิ์ครับ
กิตติศักดิ์ บุญราศรี

09 เมษายน 2555

หากเปรียบชีวิตกับเส้นกราฟ ไม่มีชีวิตใครเป็นเส้นตรงราบเรียบโดยตลอด นั่นเพราะชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือกและการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจในเรื่องสำคัญใหญ่โตแบบชี้เป็นชี้ตาย หรือจะเป็นการตัดสินใจในเรื่องเล็กกระจิ๋วหลิวจนแทบไม่ต้องหยุดคิดพิจารณาอะไรเลยก็ตาม แต่ความจริงก็คือ ที่เราเป็นเราอยู่ในทุกวันนี้ เป็นผลมาจากการตัดสินใจของเรา โดยการเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างมานับครั้งไม่ถ้วน และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เราควรตระหนักว่า ทุกครั้งที่เราตัดสินใจเราไม่ได้เลือกเพียงเพื่อจะทำหรือไม่ทำ ไปทางซ้ายหรือทางขวา แต่มันคือการเลือกชีวิตที่ 'ดีขึ้น' หรือไม่ก็ 'แย่ลง' ดังนั้นคำถามสำคัญที่เราควรถามตัวเองก็คือ 'เราจะทำอย่างไรให้ผลจากการตัดสินใจของเรา นำพาชีวิตไปสู่หนทางที่ 'ดีขึ้น' ให้มากที่สุด ก่อนจะไปไกลขอชวนคิดหน่อยครับ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า 'เพียงเปลี่ยนความคิด ชีวิตก็จะเปลี่ยน' โดยเฉพาะนักธุรกิจเครือข่าย หรือนักการตลาดต่างๆคงเคยมีคนพูดกรอกหูกันจนเหมือนการทักทายในตอนเช้าแทนคำสวัสดีไปแล้ว แต่ก็น่าแปลกก็คือว่า แม้ได้ยินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแต่บางคนก็เข้าใจมันได้แบบผิวเผินเท่านั้น บางคนถึงกับตั้งคำถามในใจว่า 'จริงเหรอ' แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตชั้นก็จะเปลี่ยนเลยเหรอ? ถามแบบนี้อยากรู้คำตอบไหมล่ะครับ?