ผมจึงขออนุญาตใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยแนะนำตัวกับท่านในครั้งนี้เลยครับ ผมจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยของรัฐฯแห่งหนึ่งครับ โดยระหว่างการศึกษาปีที่ 3 ก็รับงานเป็น Freelance ไปด้วย หลังจากจบแล้วก็เข้าทำงานในบริษัทฯต่างๆ ซึ่งก็เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาและระบบฐานข้อมูลตลอดมาราวๆ 8 ปี และจากนั้นก็เข้าสู่งานในกลุ่มธุรกิจเครือข่ายโดยรับหน้าที่พัฒนาระบบการประมวลผลโบนัส และระบบงานอื่นๆของธุรกิจเครือข่ายครบวงจร ทำอยู่หลายบริษัทฯ และในที่สุดก็เข้าร่วมงานกับบริษัทฯแห่งหนึ่งในฐานะผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศ (ผมไม่ตั้งใจจะปิดบังชื่อบริษัทฯครับ แต่ที่ไม่ออกชื่อก็เพื่อความเหมาะสมของเนื้อหา) ซึ่งปรากฏว่าด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวอื่นๆทั้งระบบมาประกอบกัน ภายในช่วงเวลา 5 ปี บริษัทฯแห่งนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจนจัดว่ามียอดประกอบการเป็นอันดับ 3 ของธุรกิจเครือข่ายในขณะนั้น และยังถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจเครือข่ายที่มีการประมวลผลโบนัสเป็นรายวันอีกด้วย และจากการที่เห็นการเติบโตตั้งแต่แรกเริ่มในฐานะที่เป็น "คนหลังฉาก" ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจแง่มุมต่างๆของระบบการบริหารจัดการภายในโดยละเอียด จึงเชื่อมั่นว่าคอลัมน์ System Focus จะสามารถนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านได้เป็นอย่างดีครับ
เอาละครับเมื่อรู้จักทักทายกันแล้วก็ขอวกเข้าเรื่องกันเลย ด้วยเนื้อหาเจาะลึกลงรายละเอียดของแผนการตลาดระบบต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วทีละแผน ครั้งนี้เริ่มกันที่แผน Stair Step กันก่อนครับ แล้วอย่าลืมติดตามแผนระบบอื่นๆแบบเจาะลึกในตอนหน้ารับรองว่าคุ้มค่ากับการติดตามครับ
แผน Stair Step - ดังที่เคยกล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่าแผนระบบนี้นั้นแต่ละระดับชั้นจะกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ (ขอใช้คำทับศัพท์แทนคำว่าอัตราส่วนนะครับ) ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ และเวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณโบนัสขั้นต้นออกมา แล้วตัดจ่ายโบนัสส่วนของทีมงานระดับล่างออกไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเราลองมาดูภาพประกอบและตัวอย่างกันครับ


การหาโบนัสขั้นต้นของ ก. ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับโบนัส 50% จากยอดรวมฯ (ตามภาพที่ 1) ก็คือ 50% ของ 500 = 250 ครับ แต่ยังเป็นเพียงโบนัสขั้นต้นครับ ยังรับไม่ได้ เพราะยังต้องไปหักโบนัสขั้นต้นที่ทีมงานจะต้องได้รับออกเสียก่อน ก็คือโบนัสขั้นต้นของ ข. นั่นเองครับ ซึ่งเราคำนวณได้ว่าโบนัสขั้นต้นของ ข. นั้นคือ 160 (ยอดนี้มาจาก ข. มียอดรวมคะแนน 40% ของ 400 = 160) แสดงว่าจะต้องตัดจ่ายให้ ข. ไป 160 เหลือ 90 จริงไหมครับ และนี่คือโบนัสสุทธิที่ ก. จะได้รับครับ เอาล่ะครับ เราก็ทำวิธีเดียวกันนี้กับสมาชิกทุกราย ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นโบนัสให้กับสมาชิกทุกคนครับ มาถึงตรงนี้ผมอยากให้ข้อสังเกตุครับว่าเปอร์เซนต์สูงสุดที่จ่ายออกให้กับสมาชิกระดับสูงในแผนระบบนี้ (เฉพาะระบบนี้เท่านั้นนะครับที่ดูแบบนี้ ระบบอื่นต้องดูที่อื่นครับ) จะเท่ากับเปอร์เซนต์ที่บริษัทฯต้องจ่ายโบนัสออกมาครับ เช่นจากตัวอย่างนี้เท่ากับบริษัทฯผู้ประกอบการจ่ายโบนัสออกมา 50% กันเลยทีเดียว ถ้าลองคำนวณกลับไปดูคุณจะพบว่าหลังจ่ายโบนัสออกไปแล้ว บริษัทฯจะเหลือเงินอยู่ 250 ครับ (ตัวอย่างก็คือตัวอย่างนะครับ)
ความจริงแล้วมีอีกส่วนที่ต้องคำนึงถึงในแผนการตลาดแบบนี้ และผมเจตนาข้ามไปก่อนแล้วมาอธิบายภายหลังก็คือ การทำคุณสมบัติ อันเป็นที่มาของสิทธิ์ในการได้รับโบนัส ที่คุณก. ได้เปอร์เซนต์ มากกว่าคุณข. ก็เพราะตรงนี้แหละครับ การทำคุณสมบัตินั้นเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าต้องมียอดคะแนนสะสมรวมกันเท่าไหร่จึงจะก้าวขึ้นสู่อัตราโบนัสที่น่าสนใจมากขึ้นครับ และส่วนมากแผนระบบนี้ก็ให้โอกาสสะสมคะแนนไปได้ตลอดไม่มีการล้างคะแนน เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงขึ้นได้แม้เพียงซื้อบริโภคก็ตามครับ
เอาล่ะครับคราวนี้เรามาสรุปกันครับว่า ลักษณะเด่นของแผนระบบนี้ คืออะไร
1. ทำคุณสมบัติหรือขึ้นตำแหน่งได้ง่าย เพราะการขึ้นตำแหน่งมักใช้เงื่อนไขว่าต้องมียอดรวมองค์กรเท่าไหร่ ซึ่งก็ยอดรวมจากการบริโภคของตนเองและทีมงานไม่จำกัดจำนวนชั้น และแผนระบบนี้มักสะสมคะแนนไว้ให้ ไม่จำกัดเวลา,ไม่ล้างคะแนนทิ้ง ตรงนี้น่าจะโดนใจกลุ่มมองธุรกิจนี้เป็นรายได้เสริมจริงไหมครับ เพราะแม้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าไม่ล้มเลิกอย่างไรเสียก็มีโอกาสขึ้นตำแหน่งแน่นอน
2. เนื่องจากแผนไม่ซับซ้อนมาก และใช้การคำนวณพื้นฐานเท่านั้น จึงทำให้สามารถอธิบาย , ทำความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้ง่าย
3. ระบบสนับสนุนให้เกิดการทำงานในแนวกว้าง เนื่องจากผู้ที่แนะนำสมาชิกมากกว่าย่อมมีโอกาสได้รับโบนัสสูงกว่า และทำให้เกิดความมั่นคงกับผู้ประกอบการโดยอัตโนมัติ เพราะแม้ทีมงานสายใดหยุดงาน สายอื่นก็ยังทำงานต่ออยู่ ผลประกอบการจากแผนระบบนี้จะไม่วูบวาบครับ
เมื่อมีข้อเด่นก็มีข้อด้อยอยู่บ้าง ดังนี้ครับ
1. ตำแหน่งแซงกันยาก เนื่องจากใช้ยอดรวมจากองค์กรทำให้อัพไลน์หรือคนข้างบน มีโอกาสขึ้นตำแหน่งไปก่อนดาว์นไลน์ทุกครั้ง (สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยชอบระบบลักษณะนี้อย่าเพิ่งโวยนะครับ อ่านต่อข้อ 2 แล้วคุณอาจจะรู้สึกดีขึ้น)
2. ตำแหน่งชนกันแล้วรายได้ตก หรือขาดรายได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมงานทำคุณสมบัติจนได้ตำแหน่งเดียวกันหรือสูงกว่า รายได้จะลดฮวบหรือหายไปทันทีครับ เช่นในตัวอย่างถ้านาย ข.ได้เปอร์เซ็นต์เท่ากับนาย ก. เราจะเห็นว่ารายได้เกือบทั้งหมดจะถูกตัดจ่ายไปให้นาย ข. นาย ก. จะเหลือโบนัสเพียงนิดหน่อยครับ อันเป็นที่มาของตำแหน่งสูงแล้วไม่ค่อยได้เงิน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องตั้งเงื่อนไขการขึ้นตำแหน่งด้วยยอดรวมองค์กรที่ค่อนข้างสูง เพื่อให้ผู้ที่ขึ้นตำแหน่งก่อนได้รับโบนัสเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้อาจตั้งราคาสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูงด้วย และบริษัทฯยังต้องดำเนินการจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในการขยายองค์กรแนวกว้างเพื่อแก้จุดอ่อนในเรื่องตำแหน่งชนกัน
3. หยุดทำงานไม่ได้ จากการที่ตำแหน่งชนกันแล้วรายได้ตก จึงมีแรงกดดันให้สร้างคนใหม่เรื่อยๆ เมื่อคนใหม่ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และเท่ากับตนเองในที่สุดก็ต้องสร้างคนใหม่กันไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือหยุดทำงานได้ยากครับ (เว้นแต่ว่าทีมงานของท่านไม่อยากเลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น) จึงมักพบว่าอาจเกิดการกีดกัน เตะถ่วง ไม่สนับสนุนให้ทีมงานขึ้นตำแหน่งมาเทียบเท่าตนเองเพราะเกรงจะเสียรายได้ครับ
4. สำหรับการขยายงานในแนวกว้าง (ภาษาเทคนิคเราเรียกว่า แนะนำมาติดตัว นั่นแหละครับ) แม้จะดีกับผู้ประกอบการ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และทำให้ศักยภาพของผู้นำในการช่วยเหลือทีมงานในแนวลึกลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาภายในองค์กรสมาชิกตามมา
เอาล่ะครับขอจบแผน Stair Step ไว้เพียงเท่านี้ ส่วนตอนหน้าผมจะเล่าเรื่องแผนระบบอื่นต่อไปอย่าลืมติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ
น่าสนใจมากครับ ผมกำลังสนใจแผนการตลาดระบบเครือข่ายอยู่พอดี ขอบคุณที่นำความรู้ดีดีมาแบ่งปันให้อ่านครับ
ตอบลบ