26 พฤษภาคม 2551

บางอย่างก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน

ถ้าถามเรื่องสุดยอดความต้องการของคนเรา ในสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คำตอบอันดับแรกๆก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเงินๆทองๆ จริงไหมครับ แล้วก็น่าสังเกตครับว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เนื้อหาสาระหรือความรู้เกี่ยวกับเงินๆทองๆก็มีให้ศึกษาเยอะมากขึ้น ทั้งเรื่องของ การหาเงิน การเก็บออมเงิน การใช้จ่ายเงิน การบริหารเงิน และเทคนิคอื่นๆอีกเพียบ (แม้กระทั่งการบริหารคนหาเงินก็มีด้วย) เรียกว่ามีองค์ความรู้กันแบบครบวงจรเลยทีเดียวครับ วกกลับมาในแวดวงของธุรกิจเครือข่าย เราก็จะพบว่าในผู้ประกอบการหลายๆบริษัทฯ ที่เน้นการพัฒนาองค์ความรู้ให้มวลสมาชิก ก็มีความรู้หลักสูตรเหล่านี้สอนกันอยู่ และแม้บางหลักสูตรไม่แนะนำโดยตรงก็สอดแทรกเกร็ดย่อยๆของเรื่องเงินๆทองๆเอาไว้ให้ได้ศึกษากันอย่างมากมาย และที่สำคัญคือมักจะสอนกันฟรีๆเสียด้วยครับ ธุรกิจเครือข่ายจึงเหมือนกันเป็นโรงเรียนสอนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องต่างๆไว้อย่างมากมาย สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จและได้นำพาชีวิตไปพบกับ อิสระภาพในทางการเงิน อิสระในการใช้จ่าย หลุดจากภาระหนี้สิน ไรัความกดดันทางการเงิน ก็ดูเป็นคนที่มีความสุขอย่างยิ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าธุรกิจเครือข่ายจะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพ ในการนำพาให้ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ ก้าวเข้าหาความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าหากจะเปรียบเทียบกับการลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวหรือเป็นเจ้าของกิจการในรูปแบบทั่วๆไปครับ

การทำธุรกิจในปัจจุบันนี้ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเองอย่างมากครับ และเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนทุกอย่างก็เปลี่ยน เครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆที่จะอำนวยความสะดวกสบาย ลดรายจ่าย ลดความยุ่งยากก็มีมากมายให้เลือกใช้กันครับ ดังนั้นผมหวังว่าทุกท่านคงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตนเอง ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะพบกับความยุ่งยากเนื่องจากผู้อื่นที่พัฒนาตนเองอยู่เสมอๆ บังเอิญอยู่ในธุรกิจหรือเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของคุณจริงไหมครับ และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา เราจะพบว่าผู้บริโภคจะลดจำนวนการบริโภคลงหรืออาจหยุดการบริโภคสินค้าของคุณ เพราะต้องรัดเข็มขัด ดังนั้นการแข่งขันในธุรกิจก็ยิ่งสูงขึ้นจริงไหมครับ พูดมาถึงตรงนี้แล้วบางท่านอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่หากเรามองดูดีๆ มันเกิดขึ้นแล้วครับ ไม่ว่าคุณจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม แม้แต่ในธุรกิจเครือข่ายที่เรามักได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำหรือบริษัท และคอยกระตุ้นให้เรา ทำงานของเรา เพื่อความสำเร็จของเรา และเพื่อนร่วมธุรกิจที่บอกเคล็ดลับความสำเร็จให้เราทราบโดยไม่ปิดบัง คิดไปแล้วช่างเป็นสังคมที่อบอุ่นและเอื้ออาทรมากๆ และสำหรับผมแล้วมันเป็นภาพความทรงจำที่ดีมากๆภาพหนึ่งเลยทีเดียวครับ แต่เนื่องจากเรื่องที่เรามีพัฒนาการทางวัตถุกันมากเกินไป เน้นเรื่องการได้มาซึ่งรายได้ เราจึงไปเน้นพัฒนาทักษะที่สามารถต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอย่างมีประสิทธิผล จนลืมพัฒนาเรื่องของความสัมพันธ์ที่ดี สิ่งที่ไม่น่าเกิดจึงได้เกิดขึ้น

ในความเป็นจริงแล้ว คงไม่มีใครอยากให้สายสัมพันธ์ดีหายไปพร้อมๆกับการที่เราก้าวเข้าใกล้ความสำเร็จทีละก้าวใช่ไหมครับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มเอาเรื่องเงินๆทองๆเป็นที่ตั้ง เป็นเป้าหมายหลัก สิ่งที่หายไปแทบจะทันทีก็คือ ความเอื้อเฟื้อเอื้ออาทร จากค่อยๆหายไปครั้งละนิด คราวละหน่อย ก็ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเป็นไฟลามทุ่ง ในที่สุด เมื่อเราประสบความสำเร็จก็พบว่ารอบๆตัวมีแต่คนที่คาดหวังผลประโยชน์จากเราเท่านั้นที่มาคอยยินดีปรีดา แต่คนที่หวังดี เอื้ออาทร หยิบยื่นความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆให้กับเราโดยไม่เคยหวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆเลย คนที่รู้สึกดีๆกับเราอย่างจริงใจแบบนั้น กลับหมดใจหรือหมดแรงที่จะมาแสดงความยินดี หรือบางครั้งสายสัมพันธ์ที่ดีเหล่านี้อาจถูกทำลายไประหว่างทางที่คุณก้าวเข้าสู่ความสำเร็จอีกด้วยครับ แม้ว่าเรื่องเงินๆทองๆนี่มีความจำเป็นอันดับต้นๆในโลกปัจจุบัน หรือใครเคยอ่านหนังสือ ลิลิตพระลอ ก็คงเคยผ่านตากับคำพรรณนาตอนหนึ่งว่า “เอาสินสกางสอดจ้าง แข็งดังเหล็กเงินง้าง อ่อนได้ดังใจ” เรียกว่าเงินแทบจะทำได้ทุกอย่างแม้เหล็กจะให้อ่อนก็ยังทำได้ แม้กระทั่งบางคนที่เรารู้จักก็อาจหลงทางชั่วคราวยอมแลกศักดิ์ศรีและการหักหลังเพื่อนพ้องได้เพียงเพื่อผลประโยชน์ตอบแทนทีเดียวครับ ผมจึงอยากให้ข้อคิดเตือนสติครับ อย่าให้เงินมันครอบงำจนลืมสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเลยครับ และเพื่อเป็นข้อคิดว่ามีหลายอย่างที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ผมจึงขอยกตัวอย่างดังนี้ครับ

เงิน ซื้อชุด ซื้อเครื่องประดับที่สวยงามได้ แต่ซื้อความงดงามในจิตใจไม่ได้
เงิน ซื้ออาหาร ซื้อยา จัดหาแพทย์มาดูแลรักษาให้ดีได้ แต่ซื้อสุขภาพที่ดีไม่ได้
เงิน ซื้อการยอมทำตามคำสั่งได้ แต่ซื้อความจงรักภักดีไม่ได้
เงิน ซื้อบ้านใหญ่ๆได้ แต่ซื้อความอบอุ่นในครอบครัวไม่ได้
เงิน ซื้อหนังสือ ซื้อความรู้ที่ดีได้ แต่ซื้อประสบการณ์ตรงและปัญญาไม่ได้
เงิน ซื้อตำแหน่งได้ ซื้อความประจบสอพลอได้ แต่ซื้อความยอมรับนับถือจากใจจริงไม่ได้
เงิน ซื้อความสนุกชั่วครู่ได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้
เงิน ซื้อเพื่อนร่วมเดินทางได้ แต่ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้


และยังมีอีกหลายๆอย่างที่เราไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ดังนั้นเราไม่ควรตั้งเป้าความสำเร็จไว้ที่เงินตราเพียงอย่างเดียว ผมอยากให้คุณรักษาไว้ได้ทั้ง คุณภาพและคุณธรรม อยากให้ชัยชนะที่คุณได้รับ เป็นเพราะมากด้วยความสามารถ ไม่ใช่ได้มาด้วยการ มุ่งหมายเพียงชัยชนะ แม้ต้องหักล้างทำลาย ต้องกล่าวร้ายป้ายสี สร้างเรื่องเท็จ ทรยศหักหลังเพื่อนร่วมทาง เพื่อยกตนขึ้นเหนือผู้อื่น หวังว่าท่านคงเห็นด้วยว่า ชัยชนะที่แท้จริงมาจากการพิสูจน์ว่าคุณมีความสามารถเล่นตามเกมส์การแข่งขันได้เป็นอย่างดี และยังสามารถรักษาสายสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ได้ แม้จะยุ่งยากที่ต้องเล่นตามกติกา แต่เมื่อไหร่ความสำเร็จมาถึง เมื่อนั้นผมเชื่อว่าคุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกครับ

09 พฤษภาคม 2551

แผนการตลาดมีกี่ประเภท?

ในธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจเครือข่ายบ้านเรานั้น มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการแข่งขันกำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะจนเรียกว่าต้องจับตามองแบบไม่สามารถกระพริบตาได้กันเลยทีเดียว สำหรับมือใหม่ๆ หรือผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ธุรกิจขายตรงนั้น มักจะได้พบเจอคำนำเสนอว่า “สุดยอดผลิตภัณฑ์” “สุดยอดแผนการตลาด” ด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจหรือเริ่มสนใจหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก็จะพบว่า ไม่ว่าบริษัทไหนๆก็มี “สุดยอดผลิตภัณฑ์” และ “สุดยอดแผนการตลาด” ด้วยกันทั้งสิ้น แถมบางบริษัทก็ยังมีสุดยอดผู้นำ สุดยอดผู้บริหาร และอีกหลายๆสุดยอด ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไรที่เขาจะรู้สึกเช่นนั้นครับ เพราะต่างก็มีความสุดยอดในมิติมุมมองส่วนตัวไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของผลิตภัณฑ์ คงแล้วแต่ว่าผู้ใช้เป็นใครด้วย อย่างที่สุภาษิตคำพังเพยโบราณท่านว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” ของบางอย่างก็ใช้ได้กับบางคน แล้วของที่หลายๆคนใช้ได้บางคนก็ไม่ชอบหรือเกิดอาการแพ้ก็มีจริงไหมครับ เอาล่ะครับออกนอกเรื่องกันมามากแล้วขอวกเข้าประเด็นเลยดีกว่าครับ
สิ่งที่เราจะคุยกันวันนี้ก็เป็นเรื่องของ แผนการตลาด (Marketing Plan) หรือนักธุรกิจบางท่านอาจเรียก ระบบการปันผลตอบแทน (Compensation Plan) ศัพท์การตลาดที่นิยมใช้กันเป็นสากล เพื่อป้องกันความสับสนกับแผนการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างไรก็ตามในบทความนี้ผมขอเรียกว่า "แผนการตลาด" เพื่อให้ฟังแล้วเป็นเรื่องเดียวกันกับที่วิทยากรของแต่ละบริษัทอธิบายระบบการปันผลตอบแทนให้กับสมาชิกครับ แผนการตลาดจัดเป็นปัจจัยระดับต้นๆข้อหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาประกอบการเลือกร่วมธุรกิจของสมาชิกหรือผู้จำหน่ายอิสระเลยทีเดียว เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าตอบแทน ซึ่งอย่างที่เกร่นเอาไว้แล้วว่าธุรกิจเครือข่ายมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มีแผนการตลาดหลายระบบถูกออกแบบมา เพื่อความเหมาะสมกับองค์ประกอบของตน และพยายามสร้างเสน่ห์แรงจูงใจให้เกิดความสนใจและร่วมธุรกิจกับผู้ประกอบการรายนั้นๆครับ แม้ว่าปัจจุบันเราพบว่าหลายๆบริษัทเลือกใช้แผนการตลาดที่ผสมผสานกันมากขึ้นแล้ว แต่เพื่อเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจผมขอแจกแจงระบบของแผนการตลาดเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ครับ

1. แผนการตลาดแบบชั้นเดียว (Single Level Marketing)
ระบบนี้เป็นระบบที่มีมาดั้งเดิมครับ หลักการก็คือราคาทุนจะถูกบวกด้วยค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่แต่ละระดับชั้น เพื่อให้ได้ราคาขายของสินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยมากแผนระบบนี้เน้นความมั่นคงและเหมาะกับสินค้าที่ราคาสูงๆ และเนื่องจากการจ่ายโบนัสจำนวนไม่มากนักจึงมักจ่ายโบนัสเป็นรายเดือนข้อสังเกตของแผนระบบนี้คือ
  • ไม่สนับสนุนให้เกิดการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมทำธุรกิจ เนื่องจากจำนวนชั้นของการปันผลมีจำกัดโดยมากการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจจึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปเท่านั้น
  • โอกาสในการเจริญก้าวหน้าหรือการเลื่อนตำแหน่งเป็นไปได้ยาก
  • การเรียนรู้ง่าย อธิบายไม่ยาก ขั้นตอนการคำนวณไม่ซับซ้อน
  • ผู้ร่วมธุรกิจ/ตัวแทนสามารถทราบจำนวนชัดเจนของผลตอบแทนที่จะได้รับตั้งแต่ลูกค้าสั่งซื้อ
2. แผนการตลาดแบบหลายชั้น (Multi-Level Marketing)
ระบบการตลาดแบบนี้นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะเปิดโอกาสผู้ร่วมธุรกิจทุกคนสามารถชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจได้ และนับรวมผลงานของเขาเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้เพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยผู้ร่วมธุรกิจทุกคนจะไปเริ่มทำคุณสมบัติจากระดับเดียวกัน ได้ผลประโยชน์เหมือนๆกัน และค่อยๆเลื่อนระดับสูงขึ้นตามผลงานของตนเองและทีมงาน และยังสามารถมีคุณสมบัติแซงผู้ที่ชักชวนตนเองเข้ามาได้อีกด้วย เนื่องจาก ระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้ เปิดโอกาสตัวแทนหรือผู้ร่วมธุรกิจสามาระชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจ และนับรวมผลงานเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้ และสมาชิกทุกคนที่เข้ามาร่วมธุรกิจก็ได้รับโอกาสให้ชักชวนผู้อื่นเพื่อเข้ามาร่วมธุรกิจในองค์กรและรับผลประโยชน์ได้เหมือนๆกัน ตรงนี้แหละครับที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของระบบ จึงเป็นที่มาของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่รวดเร็วและประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาการพัฒนาการของระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้มีอย่างต่อเนื่องจนสามารถแยกออกไปตามโครงสร้างหลักได้อีกหลายแบบดังนี้ครับ

2.1. Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
แผนระบบนี้จัดเป็นระบบดั้งเดิมในระบบการตลาดแบบหลายชั้นครับ โดยแต่ละระดับชั้นจะมีการกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ (ขอใช้คำทับศัพท์แทนคำว่าอัตราส่วนนะครับ) ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าระดับสูงขึ้นไปจะกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับระบบนี้ระดับยิ่งสูงก็จะได้เปอร์เซ็นต์เยอะกว่าระดับที่ต่ำกว่าครับ เวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณจ่ายจากส่วนต่างของแต่ละระดับชั้น คล้ายๆกับว่าผู้อยู่ในระดับสูงมีหน้าที่รับผลตอบแทนของกลุ่ม (ของตนเอง+ของทีมงาน) มาจากบริษัท แล้วตัดจ่ายส่วนของทีมงานระดับล่างให้เขาไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง แต่ในปัจจุบันเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงิน บริษัทมักเป็นผู้คำนวณและจ่ายโบนัสให้ ดังนั้นโบนัสที่ได้รับจึงเป็นโบนัสที่หักส่วนของทีมงานออกแล้ว ข้อสังเกตของระบบนี้คือ
  • มักจะมีการสะสมยอดผลงานเอาไว้ไม่ล้างทิ้ง ไม่จำกัดเวลา จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับสูงขึ้นได้แม้เพียงแค่บริโภคซ้ำเท่านั้น
  • ผู้ที่ชักชวนสมาชิกมากย่อมมีสิทธิได้รับโบนัสมากขึ้นทั้งจากยอดรวมขององค์กรที่ผลักดันให้ตนเองขึ้นสู่ระดับสูงขึ้น แต่สมาชิกใหม่ที่เข้ามาก็ยังอยู่ในระดับแรกๆ จึงทำให้รายได้สูงขึ้นเพราะมีส่วนต่างมากขึ้น
  • ผู้ที่อยู่ในระดับสูงแม้จะมีเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนสูงกว่าระดับล่างแต่เมื่อผลงานส่วนใหญ่เป็นยอดของทีมงาน (ผู้ร่วมธุรกิจที่ชวนมา) ก็จะต้องจ่ายส่วนใหญ่ของผลตอบแทนให้ทีมงานไป และเหลือส่วนต่างอยู่ไม่มากนัก และหากต่อมาทีมงานเติบโตก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับตน ก็หมายถึงการไม่มีรายได้ ทำผู้นำต้องขยายงานในแนวกว้างอย่างต่อเนื่อง และผลก็คือหยุดทำงานไม่ได้
  • ในทางปฏิบัติมักพบว่าปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผู้ร่วมธุรกิจระดับบนไม่สนับสนุนให้ทีมงานก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าตน เพราะเกรงว่าจะสูญเสียรายได้
2.2. Brake Away - ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
ระบบนี้พัฒนาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องทีมงานเติบโตเป็นระดับเดียวกันกับตนเองแล้วทำให้ผู้นำขาดรายได้ของระบบ Stair Step ซึ่งแก้โดยเมื่อพบว่าผลงานใต้องค์กรเติบโตขึ้นจนตำแหน่งชนกัน ก็จะยกคะแนนที่เกิดจากสมาชิกคนนั้นออกจากองค์กรเพื่อไม่ให้คำนวณซ้ำซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบเช่นมองเป็น Level เพื่อเป็นรายได้ชดเชย อย่างไรก็ตามระบบหลักๆก็เป็นแบบ Stair Step อยู่ดีครับ ซึ่งบางคนก็เรียกกันติดปากว่าระบบ Stair Step - Brake Away รวมกันจนแยกกันไม่ออก

2.3 Matrix - ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
ระบบนี้ก็พัฒนาจากระบบ Stair Step อีกเช่นกันครับ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้นำมีการขยายตลาดด้วยการแนะนำผู้อื่นเข้าร่วมธุรกิจมากขึ้น (อาจเรียกว่าขยายแนวกว้าง) โดยการจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก แนะนำมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น จะเห็นว่าแนวกว้างและแนวลึกมีความสัมพันธ์กัน เหมือน Matrix นั่นเองครับ เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงหรืออาจมองว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในระบบ Stair Step

2.4. Uni-Level - มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
ระบบนี้ให้ผลตอบแทนตามชั้นลึก โดยกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และลึกกี่ชั้น แต่ด้วยการตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ ส่วนลดผลประโยชน์ที่ได้รับจึงมักมีการแกว่งตัว ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นแล้วการล้างคะแนนทิ้งไปในแต่ละรอบการคำนวณจะทำให้ Uni-Level ขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียวครับ

2.5. Binary และ Tri-nary - แผนจับคู่
ระบบ Binary เป็นระบบ Balance คะแนน โดยอาจบังคับโครงสร้างให้เป็น หนึ่งแตกสอง คือผู้นำหนึ่งรายสามารถมีสมาชิกติดตัวในองค์กรเพียง 2 สาย (มักเรียกว่าขาซ้ายและขาขวา) แต่จะลึกลงไปกี่ชั้นก็ได้เรียกว่า Infinity ชั้นกันเลยครับ หากมียอดคะแนนมาจากทั้งสองขา Balance กันหรือจับคู่กันได้ก็จะจ่ายโบนัสให้ทันที ส่วนแผน Tri-nary นั้นผู้คิดค้นและนิยามศัพท์ก็คือนักออกแบบแผนการตลาดคนไทย คุณกัมปนาท บุญราศรี ครับ (คำว่า Tri ก็ล้อมาจาก ไตร ที่แปลว่า สาม นั่นเองครับ) แผนการตลาดระบบนี้ออกแบบเป็น 3 สายงานเพื่อแก้ปัญหาในการทำงานของระบบ Binary ที่ผู้นำขยายงานเป็น 2 สายแล้วเกิดยางแตก สายใดสายหนึ่งยอดสะดุดขึ้นมาก็จะขาดรายได้ จึงมีขาที่สามเป็นตัวยางอะหลั่ย โดยออกแบบวิธีการเฉพาะในการ Balance ของ Tri-nary เพิ่มเติม และบริษัทฯที่ใช้ระบบนี้ก็สร้างความความสำเร็จมากมายจนเกิดความนิยมในเทคนิคนี้ไปใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศเลยทีเดียว ทั้งระบบ Binary และ Tri-nary ได้มีการพัฒนาปรับใช้เทคนิคกันไปได้หลายแนวทางครับทั้ง Balance คะแนน และไม่ต้อง Balance คะแนน , บังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง , สะสมยอด และไม่สะสมยอด , รวมถึงการ UpGrade หรือ TopUp คือจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น และมี Matching ซึ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากความสำเร็จของทีมงาน คือมีผลตอบแทนคำนวณจากผลตอบแทนที่ทีมงานได้รับ

2.6. Party Plan - แผนลูกผสม
เป็นการนำระบบต่างๆ มาดัดแปลงใช้กันตามจินตนาการและความเข้าใจ ของผู้ออกแบบแผนการตลาด โดยมากพบว่าหากดัดแปลงกันไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว แผนการตลาดที่ได้จะอธิบายและทำความเข้าใจได้ยาก และคนทำงานตามไม่ทัน เมื่อคนไม่เข้าใจก็ขยายไม่ออกหรือทำงานช้านั่นเองครับ หลายๆแผนออกแบบก็เพื่อมาแก้ปัญหาระบบเดิม แต่ก็ควรทดสอบด้วยว่าจะสร้างปัญหาใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้อดีก็คือ เทคนิคดีๆของแผนการตลาดก็มาจากแผนแนวนี้ครับ เช่น เทคนิค RollUp เป็นต้น แต่แหม!! ขอแซวหน่อยครับ หลายครั้งที่พบว่าชื่อแปลกๆบางครั้งก็นำมาใช้เรียกเพียงเพื่อสร้างความน่าสนใจแต่ไม่มีอะไรแตกต่างเลยก็มีเยอะครับ เช่น PowerMatch , CycleRing , MegaComplex

ไม่ว่าแผนการตลาดใดก็ตามต่างก็มีข้อเด่นข้อด้อยของมันกันทั้งสิ้น การทำธุรกิจขายตรงให้สำเร็จจึงไม่ใช่ที่อยู่ที่แผนการตลาดทั้งหมด แต่แผนการตลาดก็เป็นตัวเปรียบเทียบตัวหนึ่งในตลาดขายตรงปัจจุบันไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันหมายถึงตัวกำหนดพฤติกรรมการทำงานและการบริโภคของผู้ร่วมธุรกิจไปแล้วในปัจจุบัน ดังนั้นแนวทางการเลือกทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้น เราจะมาคุยกันในโอกาสหน้าครับ

04 พฤษภาคม 2551

เมื่อไม่ซื้อก็ต้องขาย

ก่อนจะพูดถึงเรื่องอื่น เพื่อเป็นการทำความรู้จักกันผมขอกล่าวอะไรก่อนสักเล็กน้อยครับ โดยส่วนตัวแล้วผมมีโอกาสได้รับฟังวิชาการจากนักพูด นักวิชาการด้านการตลาดที่มีชื่อเสียงในประเทศมามากพอสมควร ทั้งฟังด้วยตนเองในงานสัมนา รับฟังผ่าน TAPE , CD หรือ VCD ของท่านวิทยากรเหล่านั้นอยู่เนืองๆ หรือแม้กระทั่งฟังผ่านไฟล์บันทึกเสียงของเพื่อนผู้หวังดีที่นำมามอบให้ในบางโอกาสที่ผมติดภาระกิจไม่สามารถเข้าร่วมสัมนาได้ และนอกจากนั้นในด้านธุรกิจเครือข่ายก็มียอดฝีมือ และผู้ประสบความสำเร็จมาบรรยายเทคนิคต่างๆให้ฟังอยู่เนืองๆ และบางท่านก็ได้นำเทคนิคของนักการตลาดชื่อดังของต่างประเทศมาแตกประเด็น เสริมมุมมองของตนเอง หรือบางท่านก็มีวิธีคิดวิธีปฏิบัติที่รังสรรค์จากความถนัดเฉพาะตัว หลายๆท่านสร้างความประทับใจจนยากจะลืม และบางโอกาสผมก็นำมาเป็นประโยคเด็ด วลีทอง มาสนทนากับเพื่อนร่วมธุรกิจอยู่เป็นประจำจนกลายเป็นแหล่งข้อมูลหรือที่ปรึกษาของเพื่อนผู้ร่วมธุรกิจหลายๆท่านไปโดยปริยาย อีกทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมงานหลังฉากของบริษัทที่ประกอบธุรกิจเครือข่ายมายาวนานหลายปี นับเป็นโอกาสดียิ่งที่ได้รับประสบการณ์ตรงอย่างเข้มข้น

ในทุกๆวันที่พบเห็นเรื่องราวต่างๆ ผมมักนำมาคิดและเพิ่มมุมมองอยู่เสมอๆ และเช่นเดียวกันกับเรื่องสดๆร้อนๆของวันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2008) ผมมีโอกาสได้ไปร่วมงานสัมนาวิชาการทางการตลาดที่ดีมากๆงานหนึ่ง แล้วก็เกิดมุมมองใหม่ๆ มานำเสนอให้ท่านผู้อ่านเป็นการเบิกฤกษ์เป็นบทความแรกเสียเลยครับ งานสัมนานี้จัดโดย Results Plus International ชื่อว่า "สัมนาพิเศษ เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของสุดยอดนักขายระดับโลก" ซึ่งบรรยายโดยคุณ JOE GIRADE และ คุณ BLAIR SINGER ซึ่งโดยประวัติคร่าวๆของทั้งสองท่านนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเขาเป็นบุคคลระดับโลกที่น่าทึ่งมากทั้งบุคคลิกความสามารถและความสำเร็จของทั้งสองท่าน สำหรับเนื้อหาเน้นไปในทางให้กำลังใจและแนะนำเทคนิคต่างๆใน "การขาย" รวมถึงคำแนะนำในการฝึกทักษะ "การขาย" ทำให้ผมต้องย้อนกลับมามองที่ธุรกิจเครือข่ายแบบไทยๆของเราที่ไม่ค่อยเน้นการขาย และผู้ร่วมธุรกิจส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างหน้าบาง หรือค่อนข้างจะเขินอาย เกรงกลัวการขาย และกลัวข้อโต้แย้งและคำปฏิเสธอย่างมาก จนมีเรื่องตลกว่าสำหรับบางคนถ้าให้ไปขายล่ะก็ ส่งไปลงนรกซะดีกว่าอะไรทำนองนั้น ข้อดีก็คือทำให้มีการนำเอาระบบช่วยสำเร็จเข้ามาใช้กันมากมาย และหลายๆรายก็แนะนำธุรกิจด้วยคำว่า "ไม่ใช่งานขาย" บ้างล่ะ หรือไม่ก็ "สำเร็จได้โดยไม่ต้องขาย" บ้างล่ะ เพื่อหวังให้ผู้มุ่งหวังของเราพอจะใจชื้นขึ้นบ้าง และคาดหวังว่าเมื่อเข้าสู่ธุรกิจเขาจะไม่ต้องไปทำการขายอะไรเลยเพราะมันน่ากลัวมากในความรู้สึกของเขา และในที่สุดเมื่อเข้าสู่ระบบธุรกิจจริงๆก็จะพบว่าแม้แต่คนที่บอกว่า "ไม่ต้องขาย" ก็ยังทำการขายให้เห็นอยู่ดีใช่หรือไม่ครับ เพียงแต่เขาไม่ได้เรียกว่างานขายแต่เรียกว่า "การแนะนำธุรกิจ" หรือไม่ก็เรียกว่า "การนำเสนอธุรกิจ" หรือ "การเปิดโอกาสทางธุรกิจ" ก็แล้วแต่จะเรียกครับ อันนี้แสดงว่ามองต่างมุมกันจริงไหมครับ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำและไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือว่าเป็นการหลอกลวงอะไรหรอกนะครับ ถ้าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และระบบช่วยสำเร็จเหล่านี้ก็เป็นเครื่องมือที่ดีมากๆนะครับและใช้ได้จริงๆด้วย แต่เครื่องมือก็คือเครื่องมือครับไม่ใช่ว่ามันจะทำงานแทนเราได้ทั้งหมด และหากขาดทักษะและความเข้าใจแล้วล่ะก็จะให้เกิดประโยชน์มากมายตามที่ต้องการนั้นเห็นจะยากอยู่สักหน่อย ดังจะเห็นได้ว่าบางท่านมีเครื่องมือเหมือนกันหรือดีกว่าแต่ความสำเร็จกลับน้อยกว่าก็มีให้เห็นอยู่มากมายจริงไหมครับ (สำหรับเครื่องมือหรือระบบช่วยสำเร็จเหล่านี้ผมจะนำมาเสนอให้ท่านได้ทราบกันในโอกาสหน้าครับ)

เอาล่ะครับผมอยากจะชวนท่านผู้อ่านมาลองคิดดูว่า โลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่ และโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยการขาย ท่านซึ่งอยู่ในโลก มีบทบาทที่จะต้องแสดงอยู่สองบทบาทไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ก็ตาม คือ "เป็นผู้ขาย" หรือไม่ก็ "เป็นผู้ซื้อ" ท่านเห็นด้วยไหมครับ หากเรานิยามว่า การขาย คือ การที่ "ผู้ขาย" นำเสนอสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แก่ "ผู้ซื้อ" เพื่อให้ผู้ซื้อยอม "จ่าย" สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผู้ขายต้องการ แล้วล่ะก็ เราจะพบว่าแม้ว่าบางครั้งเราจะไม่เรียกว่าการขาย แต่หากแยกเรื่องราวออกมาก็คือการขายนั่นเองเพียงอยู่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป เช่น

ตัวอย่างที่ 1 : เมื่อท่านไปสมัครงาน สิ่งที่ท่านทำก็คือ นำเสนอเวลาและความสามารถของท่านเพื่อให้นายจ้างยอม "ซื้อ" และ "จ่าย" เงินเดือนให้ท่านเป็นสิ่งตอบแทน แบบนี้เข้านิยามของการขายไหมครับ

ตัวอย่างที่ 2 : ในวันหยุด เมื่อท่านตัดสินใจว่าจะใช้เวลาในวันหยุดไปเที่ยวทะเล แต่คู่ชีวิตของท่านกลับเลือกที่จะพักผ่อนอยู่กับบ้าน จะพบว่าฝ่ายที่ชนะก็คือฝ่ายที่ นำเสนอเหตุผลของตนเองเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ "ซื้อ" และ "จ่าย" การยินยอมทำตามเหตุผลนั้น และแม้บางครั้งเหตุผลอาจไม่สามารถทำให้เกิดการ "ซื้อ" ก็อาจต้องมีการเสนอเงื่อนไขหรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจให้กันอีกด้วย แบบนี้เข้านิยามของการขายไหมครับ

ดังนั้นท่านจะเห็นว่าการซื้อและการขายเกิดขึ้นตลอดเวลาทุกครั้งที่ท่านมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นไม่ว่าใครก็ตาม หากท่านไม่ซื้อท่านก็ต้องขาย และแม้บางครั้งท่านเป็นผู้ถูกเสนอขายแต่ท่านเลือกที่จะไม่ซื้อ ท่านก็จะต้องนำเสนอให้อีกฝ่ายยอมรับว่าท่านไม่สามารถซื้อได้ ก็คือการขายรูปแบบหนึ่งนั่นเอง เพื่อนนักธุรกิจที่รักครับ หาก "การขาย" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และการขายเกี่ยวข้องโดยตรงกับรายได้ของท่าน เมื่อไหร่ก็ตามที่ขายได้ก็หมายถึงท่านได้รับประโยชน์หรือมีรายได้เพิ่มขึ้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่า "การขายได้คือความสำเร็จ" ดังนั้นหากต้องการความสำเร็จแทนที่ท่านจะกลัวการขายถึงเวลาแล้วหรือยังครับที่ท่านควรหันมาสนใจและพัฒนาทักษะและเทคนิคการขายกันอย่างจริงๆจังๆ เพื่อความก้าวหน้าในชีวิตของท่าน สำหรับนักธุรกิจเครือข่ายระดับผู้นำท่านก็ควรให้ความสนใจพัฒนาทักษะในเรื่องของการขายของทีมงาน ,
สำหรับผู้ประกอบการก็ควรกระตุ้นให้สมาชิกตื่นตัวในเรื่องนี้ และจัดกิจกรรมต่างๆให้สอดรับกับการขายของสมาชิก โลกนี้มีให้เลือกแค่สองบทบาท หากท่านไม่เป็นผู้ขายท่านก็ต้องเป็นผู้ซื้อครับ (แม้ขณะนี้จะมีเริ่มมีการใช้คำพูดที่น่าสนใจว่า "ผู้ซื้อกึ่งผู้ขาย" กันบ้างแล้วแต่หากท่านคิดตามผมมาโดยตลอดท่านก็จะพบว่าจริงๆแล้วทุกอย่างมันมีบทสรุปเดียวกันครับ) ขอให้ทุกท่านโชคดีแล้วเจอกันใหม่โอกาสหน้าครับ

ไอยรา