06 สิงหาคม 2553

ขายตรงผ่านเน็ตสร้างความแรงได้จริงหรือ?


ถอดเทปจากรายการถ่ายทอดทางช่องดาวเทียม TVD รายการขายตรงตรงประเด็น
และตีพิมพ์ใน นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 276 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฎาคม 2553

ขายตรงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตอานุภาพสร้างความแรงได้จริงหรือ?

รายการ “ขายตรง ตรงประเด็น” พบกับดิฉัน “ศิริพร ประสิทธิ์เสริฐ” อีกเช่นเคยค่ะ รายการนี้ส่งเสริมอุตสาหกรรมขายตรงไทยก้าวสู่สากุล ออกอากาศสถานี INTV และ TVD วันนี้เราได้รับเกียรติจากนักบริหารมืออาชีพทั้ง 2 ท่าน ท่านแรกคือ คุณกัมปนาท บุญราศรี และอีกท่านหนึ่งคุณกิตติศักดิ์ บุญราศรี ซึ่งจะมาร่วมพูดคุยกันในประเด็น “ขายตรงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต อานุภาพสร้างความแรงได้จริงหรือ?”


ศิริพร : เริ่มจากคุณกัมปนาท วันนี้หากถามถึงอานุภาพทางอินเตอร์เน็ตกับธุรกิจขายตรงถือว่ามีส่วนที่สำคัญในธุรกิจขายตรงจริงไหม?...

กัมปนาท : ต้องบอกว่ายุคนี้ถือเป็นยุคของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหากถามว่าขายตรงผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้นแรงไหม พูดได้เลยว่าแรงจนน่าเอือมระอาทีเดียว เพราะหากใครที่เปิดเมล์ขึ้นมาก็จะเจอเลย ไม่ว่าจะค้นหาอะไรต้องเจอแต่คนที่นำเสนอสินค้าขายตรงเยอะมาก ซึ่งหากคนที่เช้าไปใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง อาจจะไม่แฮ็ปปี้นักที่จะต้องไปเจอการขายสินค้าอยู่ในหน้าจอของเขา

ศิริพร : เรียกว่าทุกๆ อย่างไปโผล่ในหน้าเว็บหมดเลย จนกลายเป็นว่าวิธีที่ใช้ทุกวันนี้ไม่ได้ผลใช่ไหม

กัมปนาท : ต้องบอกว่าคนขายตรงเป็นคนทันสมัย พอมีช่องทางใหม่ๆ เข้ามาเขาก็จะพยายามใช้ช่องทางนั้น เพื่อนำเสนอโปรดักส์ ซึ่งจะตอบโจทย์กับผู้บริโภคไหม มันก็เหมือนกับการเหวี่ยงแห บางคนก็ชอบบางคนก็อาจจะไม่ชอบก็ได้ ส่วนใหญ่เพื่อนฝูงผมที่อยู่ในวงการเขาจะไม่ชอบ

ศิริพร : แล้วคุณกิตติศักดิ์ล่ะ มองถึงอานุภาพของอินเตอร์เน็ตดีไหม

กิตติศักดิ์ : คือต้องมองว่าอินเตอร์เน็ตนี้เป็นสื่อ แล้วสื่อทางอินเตอร์เน็ตก็เป็นโลกของยุคข่าวสารด้วย ที่ช่วยให้ทุกคนนั้นค้นหาข้อมูลได้ และจากสถิติพบว่า คนส่วนใหญ่จะใช้อินเตอร์เน็ตในการบันเทิง ดูคลิป ฟังเพลง และมีบางกลุ่มก็ค้นหาข้อมูล รวมถึงเข้าไปแชทคุยกัน ซึ่งการที่จะซื้อสินค้าจริงๆ นั่นมีน้อย นอกนั้นทำธุรกรรมทางการเงินก็ทำกับแบงก์ไป

ศิริพร : เห็นบอกว่าคุณกิตติศักดิ์มีตัวเลขผู้เล่นอินเตอร์เน็ตในเมืองไทยด้วย

กิตติศักดิ์ : ถ้าเป็นตัวเลขของผู้ที่เล่นอินเตอร์เน็ตในเมืองไทย พบว่า มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งอัตราการเติบโตค่อนข้างที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยโตแบบก้าวกระโดดทุกปี แต่ถ้าเราจะมองไปว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนขายตรงทั้งหมดคงไม่ใช่ เพราะคนเหล่านี้จะเน้นความบันเทิงอยู่ที่ 59% และทำธุรกรรมอยู่ที่ 3%

ศิริพร : เพราะฉะนั้นคนที่โฟกัสการนำเสนอธุรกิจทางอินเตอร์เน็ตต้องปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ ถูกต้องไหม

กัมปนาท : ก็ไม่ใช่เสมอไป อย่างที่บอก คนที่รับข้อมูลข่าวสาร ของคนขายตรง ทั้งจากการ forward mail ไว้ ด้วยการ forward กันไปมา ก็จะได้รับข่าวสารนี้ และยิ่งยุคนี้เป็นยุค social network การนำเสนอธุรกิจก็จะมีทั้ง facebook บ้าง twitter บ้าง ซึ่งบางครั้งอาจจะไปสร้างความรำคาญให้กับคนบางกลุ่มอยู่บ้าง เนื่องจากคนเรามีหลายอารมณ์ แต่เท่าที่ผมเจอนี้ พอเขารู้ว่าเป็นธุรกิจขายตรงบางคนถึงกับ Block ไปเลย คือ ไม่อยากรับรู้ข้อมูล จะเห็นได้ว่า อนุภาพของอินเตอร์เน็ตสามารถที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคนขายตรงได้ ในแง่ของการติดต่อข้อมูลข่าวสารการประชุม ในการทำ CRM กับกลุ่มลูกค้า หรือว่าจะเป็นการประชุมกันทางออนไลน์ โดยที่ไม่ต้องเดินทางกัน เพื่อลดค่าใช้จ่าย หรือไม่ก็จะเป็นในเรื่องของคลังความรู้ คลังข้อมูลให้กับกลุ่มลูกทีมหรือกลุ่มแม่ทีมด้วยกัน ในขณะเดียวกันอาจจะเป็นการสร้างแบรนด์ในอินเตอร์เน็ตก็ได้

ศิริพร : วันนี้หากสังเกตเห็นจะพบว่า มีคนบางกลุ่มใช้ทีวีเป็นเครื่องมือในการประชุม ส่วนทางอินเตอร์เน็ตล่ะคุณกิตติศักดิ์มองว่ามีแนวโน้มที่จะมีการใช้บ้างไหม

กิตติศักดิ์ : การประชุมกันทางอินเตอร์เน็ตนี้เราก็มี ซึ่งสามารถที่จะทำการประชุมผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ แม้แต่บางคนที่เขาทำในเรื่องที่เกี่ยวกับการสอนไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายหรือไม่ใช่เครือข่ายก็จะใช้อินเตอร์เน็ต ทั้งนี้ ซึ่งผู้สอนบางคนเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดคอร์สใหญ่ๆ แล้ว นั่งอยู่ที่บ้านก็ได้ ซึ่งธุรกิจขายตรงก็ใช้ประชุมกลุ่มย่อยได้ด้วยเช่นกัน

ศิริพร : ตรงนี้อาจจะใช้งบเยอะหน่อย แล้วโอกาสและศักยภาพจะเกิดไหม

กิตติศักดิ์ : เท่าที่ได้สัมผัสเขาใช้กันได้ผล ในเรื่องการประชุมกลุ่มย่อย ซึ่งสามารถที่จะเรียกขวัญและกำลังใจ รวมถึงให้ข้อมูลแก่พวกเขาได้ แต่ถ้าจะไปรีครูทเลยนี้คงจะยาก

ศิริพร : ขอย้อนกลับไปที่ตัวเลข 3%

กิตติศักดิ์ : ใน 3% นั้นจะต้องไปทำธุรกรรมอื่นด้วย คือ เราเน้นใช้สื่ออินเตอร์เน็ต เพื่อจะให้เกิดกลุ่มบุคคลกลุ่มที่นิยมในกลุ่มเดียวกัน แล้วมารวมตัวกัน แล้วก็ไปทำในเรื่องเดียวกัน ให้ข้อมูลในเรื่องเดียวกัน โดยจะเอาไปออกในสื่อหลัก อย่างเช่น วิทยุ ออกรายการโทรทัศน์ หรือว่าไปออกในสื่อสิงพิมพ์ คือ มาพรีมาร์เก็ตติ้งใหม่ในอินเตอร์เน็ต

ศิริพร : ก็คือมารวมไฟล์ไว้อยู่ที่เดียวกัน ถ้าเกิดว่าเราจัดรายการผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้สื่อนี้ ไปถึงสมาชิกจะเกิดผลดี

กิตติศักดิ์ : ผมมองว่ามันไม่ใช่สื่อหลัก เพราะคนที่จะเข้ามา ก็ไม่ใช่กลุ่มหลักๆ อยู่แล้ว เนื่องจากในชีวิตประจำวันก็จะดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์ โดยอินเตอร์เน็ตถือเป็นช่องทางให้เขานั้นเลือกที่จะหาดูในสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้นเอง

ศิริพร :แล้วอย่างนี้ จะทำอย่างไรให้อินเตอร์เน็ตเหมาะกับธุรกิจขายตรง

กัมปนาท : คืออินเตอร์เน็ตอย่างที่บอก ยังไงเราก็ปฏิเสธอินเตอร์เน็ตไม่ได้ แล้วก็มันเป็นโอกาสที่จะลดต้นทุน ลดเวลาเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายงานในช่องทางขายตรง เพียงแต่เราเลือกใช้ให้ถูกกับวัตถุประสงค์ ถ้าหลักๆ เราเลือกใช้ในทางประชาสัมพันธ์ รวมกลุ่มในกลุ่มสมาชิกด้วยกันเอง ในการสื่อสารข้อมูล ประชุมผ่านทาง camfrog หรือว่า skype เราก็ลดเวลาในการทำงานมาเหมือนกัน ซึ่งมันจะเป็นคลังข้อมูล คือ เอาข้อมูลมารวมกันแล้วก็ download ได้ และอีกอย่างหนึ่งที่ผมเป็นห่วง ก็คือ เรามีการลงทุนกับคนขายตรงในทางอินเตอร์เน็ตนี้เยอะมาก แต่เราต้องกลับมาถามตัวเองว่ามันตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราไหม ซึ่งอยากที่จะให้คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ คือ ช่วยกัน Focus กลุ่มเป้าหมาย ใช้ให้มันถูกต้องและเกิดประโยชน์

ศิริพร : พูดง่ายๆ คือ เลี่ยงคำว่า “รบกวน” ใช่ไหม

กัมปนาท : ใช่ แต่ว่าเราต้องพยายามให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพราะการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตในการทำงาน ผมว่าได้ผลอยู่แล้ว เพราะทุกคนจะเข้าใจดี ทั้งนี้ การที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ มันต้องเริ่มจากต้นน้ำ คือ เริ่มต้นจากบริษัทจะต้องมีแนวคิดที่ส่งเสริมในนโยบายการตลาดของ E-commerce ด้วย เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ศิริพร : วันนี้ช่องทางอินเตอร์เน็ตที่ใช้กับธุรกิจขายตรงใช้ได้กี่ช่องทาง

กิตติศักดิ์ : ช่องทางการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต มีทั้งเสียเงินและไม่เสียเงิน ซึ่งหากเป็นการเสียเงินนั้น จะเป็นการใช้ในเรื่องของโฮตติ้ง วีดีโอบรอดแคส ที่จะมีภาพวิดีโอให้ดู นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งช่องทางในการเลือกส่งข้อสารในการประชุมย่อยให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ SMS ไปจนถึง skype, facebook, twitter และ camfrog ซึ่งกลุ่มนี้จะมองในเรื่องของการสื่อสารที่ใช้ในกลุ่มย่อย คือ คนที่รู้จักอยู่แล้วเป็นอัพไลน์หรือดาวไลน์นั่นเอง

ศิริพร : ปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จในการใช้อีคอมเมิร์ซคืออะไร

กัมปนาท : คือจะมีประโยชน์ในการทำงาน รวมถึงยังลดต้นทุน ลดเวลาและการเดินทางไปมาหาสู่กัน ซึ่งอาจจะเจอหน้ากันที่ camfrog แต่ปัจจัยที่ทำให้เรานั้นประสบความสำเร็จในธุรกิจขายตรงทางอินเตอร์เน็ต นั่นก็คือ ผมเรียกว่ามีการซื้อขายได้จริงๆ ซึ่งในแง่ของการประชาสัมพันธ์นั้น ผมว่าทุกท่านนั้นประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะท่านเองจะมีกลุ่มของท่านอยู่แล้ว สำหรับปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เกิดความสำเร็จประกอบด้วย
ปัจจัยแรก คือ เราต้องมีข้อมูลของโปรดักส์ และข้อมูลของบริษัทต้องน่าเชื่อถือ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญตั้งแต่เริ่มต้นเลย
ปัจจัยที่ 2 คือ เว็บไซต์จะต้องมีมาตรฐาน เพราะการที่ผู้บริโภค จะตัดสินใจซื้อต้องบอกว่า เขาก็มีความเสี่ยงอยู่แล้วที่จะซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ต โดยข้อมูลถือว่าสำคัญ คือ จะต้องประกาศนโยบายที่ชัดเจน โดยการรับประกันความพอใจคืนเงินได้ มีระบบบริการจัดส่งสินค้าให้ และการชำระเงินนั้นก็ต้องมีหน่วยงานกลางของแบงก์ด้วย เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
ปัจจัยที่ 3 คือ ต้องมีการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ซึ่งต้องไปขึ้นตรงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ รวมถึงจะต้องมีระบบคอลเซ็นเตอร์ด้วย เพื่อให้สามารถติดต่อได้ ปัจจัยสุดท้ายคือ ท่านต้องโปรโมทเว็บไซต์ที่ท่านนั้นสร้างขึ้นมา เช่น อาจจะไปลงโฆษณากับทางเว็บไซต์กูลเกิ้ล เพื่อให้เกิดการรับรู้ในเว็บไซต์ของท่าน หรือไม่อาจจะลงทุนด้วยการทำแบรนด์เนอร์ไปติดตามเว็บต่างๆ เพื่อให้มีคนรู้จักกับท่าน ซึ่งปัจจัยทั้งหลายที่กล่าวมานี้ ผมเชื่อว่าจะทำให้ทุกท่านนั้นประสบความสำเร็จจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้

ศิริพร : มาพูดถึงภัยร้ายทางอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่าตรงนี้ถือว่าเป็นหมายเลขหนึ่งเลยทางอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่ามันนี่เกมส์ชัดๆ มีความคิดเห็นอย่างไรกับตรงนี้

กิตติศักดิ์ : ก็เหมือนกับเราที่มีการคุยไว้ข้างต้น การที่เรานำเสนอด้วยการใช้ตัวบุคคลนำเสนอนั้น โดยที่ตัวบริษัทถูกตัดขาดไป ไม่มีการพรีเซ็นต์ว่า บริษัทนี่เป็นบริษัทอะไร ทำอะไร ซึ่งหน้าที่ของคนกลุ่มนี้ คือ การรีครูทคนมาทำธุรกิจเท่านั้นเอง โดยเว็บไซต์ในปัจจุบันนี้ จะมีทั้งการบอกถึงว่าแผนการตลาดดีอย่างไร แล้วก็ให้คนที่สนใจกรอกข้อมูล ต่อจากนั้นก็จะมีการโทรมาติดต่อ ซึ่งการทำลักษณะตรงนี้ มันก็เสี่ยงในการที่จะถูกหลอกลวงได้ง่าย และอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทที่ทำเสียหายด้วย

ศิริพร : อย่างที่คุณกิตติศักดิ์บอกว่าในตัวเลข 3% อาจจะมาจากจุดนี้ไหมที่ทำให้ขายตรงไม่เติบโต

กิตติศักดิ์ : ต้องบอกว่าในตัวเลข 3%นั้น เป็นเรื่องของการทำธุรกรรม แต่ตรงนี้ผมมองว่าเป็นเรื่องของการโฆษณา ซึ่งบังเอิญคนที่เข้าไปนั้นต้องการที่จะไปหาความบันเทิง อาจจะไปหาเว็บบอร์ดที่ตัวเองนั้นชอบ เพื่อที่จะเข้าไปคุยในเรื่องเดียวกันกับเพื่อน แต่กลับไปเจอข้อความอย่างนี้โฆษณาไว้ และเมื่อคลิ๊กเข้าไปแล้ว ก็จะเจอข้อความในเชิงของการชวนทำธุรกิจ รวมถึงยังมีในส่วนของคอลเซ็นเตอร์ที่โทรมาบอกว่าให้ไปที่นั่นที่นี่ โดยลักษณะนี้อาจจะทำให้มีบางคนเกิดการหลงเชื่อได้ ซึ่งถ้าหากเขานั้นทำแล้วสำเร็จถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นในลักษณะที่ทำแล้วไม่สำเร็จก็จะไปมองว่าตรงนี้เป็นการหลอกลวง และก็จะนำมาสู่คดีความต่างๆ ตามมา จนส่งผลมาถึงภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงนั้นเสียไปเลย

ศิริพร : ณ ปัจจุบันนี้มีเยอะแค่ไหนในส่วนของภัยร้ายทางอินเตอร์เน็ต

กัมปนาท : ขอเสริมคุณกิตติศักดิ์ ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะแยกยากกับการที่เรานั้น เปิดเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้ว ไปเจอกลุ่มขายตรง โดยตรงนี้เราไม่สามารถที่จะฟันธงว่า ธุรกิจนี้เป็นแชร์ลูกโซ่หรือขายตรง ซึ่งการทำเว็บไซต์นั้นจริงๆ แล้ว ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง ที่ให้คนกรอกข้อมูลลงไปเพื่อให้มีระบบติดตาม โดยจะเป็นการทำให้เกิดความลึกลับ ซึ่งความลึกลับนั้นอาจทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า เป็นมันนี่เกมส์ไหม ซึ่งก็ยังไม่สามารถที่จะสรุปได้จากหน้าจอแรกที่เรานั้นได้เห็น โดยเป็นกลยุทธ์ในการรีครูทอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งยังไม่สามารถที่จะฟันธงได้ว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่ว่าความสงสัยนั้นอาจทำให้มองได้ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ

ศิริพร : นับได้ว่าข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเป็นประโยชน์ช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถจับกุมบริษัทขายตรงได้ ซึ่งเป็นต้นทางของข้อมูลที่ดี

กัมปนาท : ตรงนี้ผมมองว่าเป็นในแง่ของการบริหารบริษัทขายตรงว่า บางบริษัทปล่อยปละละเลยกับข้อมูลโดยที่ไม่มีการควบคุมข้อมูล ในเรื่องของการโฆษณาสินค้า และการกระจายข้อมูล จะสังเกตว่าเว็บไซต์ของบริษัทจะมีอยู่เว็บเดียว โดยส่วนมากเว็บไซต์ดังกล่าวผู้นำจะสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งหากพูดในเรื่องของสินค้า ก็จะพูดว่าหายจากโรคนั่นโรคนี้ได้ ยิ่งปัจจุบันอาจจะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ง่าย สามารถถ่ายรูปคนป่วยมาสร้างเว็บไซต์ขึ้นมา ให้ดูก่อนและหลังการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งการทำแบบนี้มันต้องถูกควบคุม ซึ่งมีบางบริษัทการเปิดเว็บไซต์นั้น จะต้องมีการขออนุญาตการเปิดเว็บไซต์ก่อน และบางข้อมูล เป็นข้อมูลที่ผ่านการรับรองมาก่อน ถึงจะสามารถขึ้นไปโพสต์ไว้บนเว็บไซต์ได้

ศิริพร : ดิฉันเข้าใจแล้วว่าผู้ประกอบการจะต้องเข้ามาดูแลในส่วนนี้อย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้เปิดอิสระแต่เขาก็มีสิทธิ์นะ นี่คือธุรกิจอิสระ

กัมปนาท : อิสระแต่ข้อมูลเป็นแบรนด์โลโก้ หรือเรียกได้ว่าสินค้าเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท โดยที่บริษัทจะต้องเข้ามาควบคุมเว็บไซต์ของนักธุรกิจด้วย ไม่อย่างนั้น จะเป็นประเด็นที่ว่า ภาครัฐก็จะเข้ามาหาข้อมูลได้ เพราะตรงนี้ภาครัฐสามารถทำได้อยู่แล้ว โดยที่ไม่ต้องขออนุญาต เพราะจริงๆ แล้ว การโฆษณาของคณะกรรมการอาหารและยา ถ้าโฆษณาขายอาหารเสริมก็ต้องมีเลขที่ใบอนุญาต ยิ่งถ้าเป็นเว็บไซต์ของบริษัทข้อมูลต่างๆ ก็ต้องชัดเจน

ศิริพร : หลายหมื่นนะในทางกฎหมายที่จะต้องถูกปรับ ถ้าเกิดเจอในรูปแบบนี้

กัมปนาท : อย่างที่บอก การบริหารบริษัทขายตรงนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารจะต้องเข้ามาควบคุมตรงนี้ด้วย

ศิริพร : ต้องคุมให้ได้ด้วยคนหลักแสนคนแล้วอย่างนี้จะคุมกันยังไงไหว ซึ่งบางทีก็มีนักธุรกิจอิสระบางคนที่มีกำลังที่จะเปิดเว็บไซต์ด้วยซ้ำ

กัมปนาท : โดยเรื่องนี้เขาเองก็คุมอำนาจกันอยู่แล้ว ซึ่งเราเองก็ไม่อยากที่จะเห็นใครขายดีกว่าใครหรอก
นี่พูดตรงๆ ซึ่งต้องคุมกันว่าทำไมกลุ่มนี้ถึงขายดี เป็นเพราะอะไร และต้องชี้แจงให้เขารู้ว่าไม่สามารถที่จะนำแบรนด์ของบริษัทไปใช่ในทางที่ผิดได้ เพราะแต่ละบริษัทต่างก็มีมาตรฐานเป็นของตัวเอง

ศิริพร : คุณกิตติศักดิ์มองในส่วนตรงนี้อย่างไรบ้าง

กิตติศักดิ์ : จริงๆ แล้วมีหลายบริษัทนะครับที่ให้นักธุรกิจ ทำเว็บไซต์และลงทะเบียนกับบริษัท ซึ่งบริษัทเองควรที่จะต้องมีการจัดทำเว็บไซต์อย่างยิ่ง เพื่อที่บริษัทจะได้ควบคุมได้ ว่ามีอะไรผิดไปจากที่กำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากนักธุรกิจไม่มีการลงทะเบียน บริษัทก็สามารถยกขึ้นมาโต้แย้งได้ว่า หน่วยงานรัฐมาจับกลุ่มบริษัทก็ไม่ถูก เพราะบริษัทไม่ได้อนุญาตให้นักธุรกิจท่านนั้นใช้ เขาทำโดยพละการและบริษัทก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องสมาชิกรายนั้นด้วย

ศิริพร : ถ้าหากมีการอนุญาตหลายหมื่นเว็บไซต์อย่างนี้ แล้วจะดูทันเหรอ

กิตติศักดิ์ : จำเป็นต้องรับผิดชอบครับ คือ ถ้าอนุญาตไปแล้วก็ต้องรับผิดชอบ โดยจะค่อยๆ ดู ถ้าดูแล้วหมิ่นเหม่มันไม่ได้เกิดขึ้นมา 2 วันแน่ๆ ซึ่งก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดอีกที

ศิริพร : ต้องไล่ตามกันให้ทัน

กิตติศักดิ์ : ใช่ครับ ตัวบริษัทก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย ที่สำคัญนักธุรกิจเองก็ต้องไม่ทำอะไรที่นอกเหนือไปจากที่บริษัทอนุญาต เราก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยปกติ และก็ไม่ต้องห่วงว่าภาครัฐจะมาควบคุมดูแลด้วย

วันนี้พบว่ากลยุทธ์ของการทำการตลาดมีมากกว่าการใช้แผนนะ บางคนใช้สินค้านำ บางคนก็เอาภาพผู้สำเร็จมานำเสนอให้ดู บางคนก็พูดให้กระชับสั้นๆ กลายเป็นความลึกลับให้น่าสนใจ บางคนทิ้งข้อมูลเพื่อให้โทรกลับ เป็นต้น

ศิริพร : ดิฉันเข้าใจแล้วว่าอย่ามองว่าการทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นภัยเสมอไป

กิตติศักดิ์ : ก็กลายเป็นว่าข้อมูลตรงนี้มันถูกสาดเข้าไปในตลาดเยอะมาก สมมติว่ามีอยู่พันบริษัท ทั้งพันบริษัท เอาแค่บริษัทละ 1 เว็บไซต์ก็พอแล้ว สาดเข้าไปในตลาด เท่ากับผู้บริโภค 1 คน เจอเว็บไซต์เป็นหลักร้อยเว็บไซต์เลย ที่พูดถึงเรื่องรวยข้ามคืน ได้เงินด่วนเงินไว คนก็คิดว่าตกลงมันอะไรเนี่ย มันเป็นขบวนการปั่นเงินหรือเปล่า หรือเป็นวงจรแบบไหนเหรอ คนส่วนใหญ่ในประเทศจะไม่เข้าใจว่าขายตรงส่วนใหญ่คืออะไร

ศิริพร : ตอนนี้ภัยทางอินเตอร์เน็ตกำลังระบาดหนักเลย อยากที่จะบอกอะไรกับหน่วยงานรัฐบ้าง

กิตติศักดิ์ : ผมมองการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดีเป็นเรื่องที่จะทำให้สังคมมันมีระเบียบแบบแผนมากขึ้น แต่ละบริษัทควรเข้าไปจัดการระเบียบต่างๆ ของเว็บไซต์ ของสื่อต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตให้เป็นระเบียบด้วย และภาครัฐก็ต้องทำหน้าที่ของภาครัฐ บริษัทก็ต้องทำหน้าที่ของบริษัท นักธุรกิจก็อย่าทำอะไรแบบง่ายๆไม่อย่างนั้น จะกลายเป็นการล่อแหลมได้ ซึ่งการที่ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้ธุรกิจมีระเบียบมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ข้อมูลที่ใส่ลงไปก็เกิดจาก 2 ส่วน คือ เกิดจากบริษัททำขึ้นมา อีกส่วนหนึ่งเกิดจากนักธุรกิจทำขึ้นมา ซึ่งนักธุรกิจจะทำขึ้นมามากกว่าตัวบริษัท ก็อยากฝากถึงทุกฝ่ายว่า การตรวจสอบถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องให้โอกาสด้วย

ศิริพร : ในบทบาทของ สคบ. ล่ะคะอยากจะฝากอะไรถึง สคบ. ไหม ในฐานะที่เป็นนักโปรแกรมเมอร์ด้วยวันนี้การจ่าย Over play ก็ยังเป็นปัญหาอยู่

กิตติศักดิ์ : ถ้าหากเป็นไปได้ อยากที่จะบอก สคบ. ว่า ก่อนที่จะอนุญาต จริงๆ แล้ว แผนการตลาดสามารถนำมาคำนวณได้ ซึ่งก็จะทำให้ทราบว่าอัตราการจ่ายผลตอบแทนจะจ่ายได้หรือไม่ คือ อย่าไปจดทะเบียนง่ายๆ เสร็จแล้วให้เค้าออกไปเผชิญโลกของนอกว่า เขาจะจ่ายได้หรือเปล่า ถ้าจ่ายไม่ได้ตรงนี้คุณผิดกฎหมาย เมื่อเขาทำไม่ได้ก็ไปจับเขา อยากที่จะเสริมตรงนี้ว่า ถ้าหากเราสามารถที่จะคำนวณแผนการตลาดได้ และเมื่อรู้ว่าแผนดังกล่าวไม่สามารถจ่ายได้แน่นอน ก็ไม่ควรปล่อยเขาออกไปเผชิญโลกภายนอก

ศิริพร : การตั้งลิมิตอาจเกิน 1 ล้านคนไหมค่ะ หรือว่าอาจจะ 1 ล้าน แล้วจะ over play หรือมีการตั้งสมมติฐานมากกว่านั้น

กิตติศักดิ์ : จริงๆ แล้ว 1 ล้าน ถือว่าพอ ผมเคยวิเคระห์ออกมา บางแผนนะครับช่วงแรกกำไร พอมาถึงช่วงประมาณ 8 หมื่น 9 หมื่น เริ่มขาดทุน กราฟก็เริ่มตก อันนี้เป็นลักษณะของ over play แต่บางแผนค่อยๆ ขึ้น กำไรก็ค่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็อยู่ได้ยาว จริงๆ แล้วตรงนี้มันขึ้นอยู่กับการกำหนดราคาด้วย เพราะราคาจริงๆ ไม่ต้องจ่ายเป็นขายตรง จะเป็นการจ่ายตามตลาดทั่วไป ถ้าซื้อมามีต้นทุนสินค้า 8 บาท ไปขายแล้วเบ็ดเสร็จ จ่ายคอมมิชชั่น ตัวบริษัทไม่เหลือกำไรเลย อันนี้ก็เริ่ม over play ตั้งแต่แรกแล้ว ขายสินค้าชิ้นเดียวก็เริ่มขาดทุนแล้วครับ

บันทึกเพิ่มเติม เนื้อข่าวใน นสพ. จบลงเพียงเท่านั้นเนื่องจากหน้ากระดาษมีเนื้อที่จำกัด ผมจึงขอเขียนอะไรเป็นการสรุปทิ้งท้ายไว้สักเล็กน้อยเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาครับ
....
....
....
(ยังเขียนไม่เสร็จ โปรดติดตาม รับรองว่าอ่านแล้วไม่เสียเวลาแน่นอนครับ...)

1 ความคิดเห็น:

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณมีอะไรจะกล่่าวเสริมหรือบอกเล่าอะไรสักนิดไหมครับ?