29 สิงหาคม 2551

ตัดต่อไฟล์เสียงด้วย Wavosaur

โปรแกรม Wavosaur free audio editor โปรแกรมตัดต่อไฟล์เสียงที่มีคุณภาพดี และยังเป็นฟรีแวร์อีกด้วยครับ ส่วนความสามารถและรายละเอียดอื่นๆนั้น มีดังนี้ครับ












Wavosaur is a free and efficient audio editor for Windows : do digital audio editing and recording , add VST effects, repair and clean your audio, perform various operations with audio data, change sound in real time, masters your track, process your sounds with VST effects in real-time
  • easy to use interface will get you started running. fast zoom in/out with mousewheel.
  • ability to work with multiple files at the same time in seperate screens.
  • supports a number of file formats including wav (and multichannel wav), mp3, vox, au, aif, AKAI S1000 and many more.
  • sound editing functions with undo include cut, copy, paste, delete, mix, insert silence, mute, auto-trim and more.
  • export MP3- audio tools include amplify, normalize, sample rate conversion, pitch shift and more.
  • fade in and out with many different curves
  • automatically remove DC offsets.
  • recording and playback through any windows compatible audio device, you can use ASIO drivers, and do audio routing.
  • analysis tools include spectral analysis (DFT) 2D and 3D, sonogram, real time oscilloscopes.
  • supports any sample rates, stereo mono or multichannel, 8, 16, 24 or 32 bits PCM and 32 bits float.
  • supports VST plug-ins, real time preview/processing, displays VST GUI, chain VST effects plugins, load/save presets fxp/fxb, load/save VST chains.
  • regions can be saved as separate files.
  • support for loop points and region markers.
  • real-time analyzers : volume input/output oscilloscope, FFT and pan.
  • analysis : 2D and 3D spectrum, sonogram, statistics. Exports statistics and spectrum as text.
  • synthesis generator : generate simple waveform.
  • skinable interface ( download skins at http://www.wavosaur.com/skins.php ).
  • MIDI controlable.

ดาว์นโหลดใช้งานได้ฟรีที่ลิงค์ข้างล่างนี้ครับ
http://www.wavosaur.com/download/files/Wavosaur.1.0.3.0(en).zip
ของดีๆให้ใช้ฟรีแบบนี้ ห้ามพลาดครับ

24 สิงหาคม 2551

แผน Binary (3) : ขาอ่อน

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พบกันอีกครั้งกับคอลัมน์ System Focus ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย นำเสนอแง่คิด รายละเอียดเชิงวิชาการ แก่ท่านในมุมมองของนักพัฒนาโปรแกรม และระบบคอมพิวเตอร์สำหรับงานบริหารธุรกิจเครือข่ายครับ ครั้งนี้มาต่อกันที่ แผนการตลาดระบบไบนารี่ ตอนที่ 3 ครับ ท่านใดพลาดเนื้อหาในตอนไหน รบกวนอ่านจากหนังสือพิมพ์เล่มเก่าหรีอทางเว็บไซต์ http://www.taladvikrao.com/ หรือ http://iyaraplanet.blogspot.com/ ครับ เอาล่ะครับเรามาติดตามแผนการตลาดระบบไบนารี่กันต่อเลยดีกว่า

แผนการตลาดระบบไบนารี่ (3) : เรื่องของขาอ่อน
เพื่อสร้างบรรยากาศ และความน่าสนใจ ขอใช้ภาษาการตลาดมาเรียกลูกค้าหน่อยครับ เรื่องของขาอ่อนนี่ท่านผู้ชายหลายท่านฟังแล้วคงสนใจขึ้นมาบ้าง (....ฮา) ส่วนคุณผู้หญิงฟังแล้วคงเฉยๆ.... แต่เรื่องของขาอ่อนที่ผมนำมาพูดถึงนี่ไม่ได้หมายถึงขาของสาวๆหรอกนะครับ เป็นเรื่องของแผนการตลาดเหมือนเดิม เรื่องของเรื่องก็คือแผนการตลาดไบนารี่นั้น ในบางครั้งอาจเรียกไปในอีกชื่อตามการพิจารณาโบนัส โดยเทคนิคพิจารณาจาก "แต้ม" ที่ได้ในขาใดขาหนึ่งคือไม่ดูที่ "ขาอ่อน" (Weak Leg) ก็ดูที่ "ขาแข็ง" (Strong Leg) และอาจใช้ชื่อแผนระบบ "Weak Leg - Strong Leg" แทนคำว่า "Binary" ครับ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำนี้ ก็ขอให้ทราบเลยว่า มันเป็นเรื่องเดียวกันครับ ต่างกันที่มุมมองเท่านั้นเอง แต่เท่าที่สัมผัสกันมานั้น นักธุรกิจเครือข่ายบางท่านแม้จะมีดีกรีเป็นถึงวิทยากรบรรยายแผนการตลาด ก็ยังคิดว่าเจ้า Weak Leg - Strong Leg มันเป็นคนละเรื่องกันกับ แผน Binary แถมบางท่านบรรยายว่าแผนแบบ Weak Leg นี้จ่ายมากกว่า Binary อีกด้วย แฟนประจำคอลัมน์ผมคงไม่คิดแบบนั้นใช่ไหมครับ แต่ใครที่ยังเข้าใจแบบนั้นอยู่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะมีหลายคนยังคิดเหมือนท่านนั่นแหละ อย่าเพิ่งเชื่อผมนะครับ ลองมาตามล่าความจริงจากตัวอย่างกันดีกว่า

เริ่มจากดูภาพกันก่อนครับ สำหรับ ภาพที่ 1 นั้น (เรียกว่าฝ่ายแดง ตามกระแสโอลิมปิคฟีเวอร์ครับ) เรามาทวนกันหน่อยครับ เราจะเห็นว่า แผนไบนารี ใช้วิธีการ Balance แต้ม/คะแนน หรือการจับคู่นั่นเอง ซึ่งคะแนนจะจับคู่หรือ Balance ได้นั้นจะต้องมีแต้มทั้งสองข้าง มีแต้มมาข้างเดียวจะเรียกว่าจับคู่ได้อย่างไร? จริงไหมครับ เมื่อได้จำนวนคู่มาแล้วก็เอามาคูณกับอัตราจ่ายที่ระบุในแผนการตลาด เช่น คู่ละ 500 เป็นต้น

ทีนี้ตามมาดู ฝ่ายน้ำเงินกันบ้างเป็นแผนแบบ Weak Leg หรือ Strong Leg ภาพที่ 2 ครับ ผมสมมุติเป็นระบบพิจารณาจากขาอ่อนก่อนนะครับ (Weak Leg) เพราะดูจะน่านิยมกว่าพิจารณาขาแก่ (...ฮา) เพราะท่านอาจไม่อ่านต่อเนื่องจากจินตนาการไม่เห็นอะไรนอกจากรอยย่น (...ฮา) สำหรับการพิจารณาจากขาอ่อนนั้น เขาจะดูว่าขาอ่อนนั้นมีกี่คะแนน เขาก็จะจ่ายเป็น % ของคะแนนขายที่ได้รับมาครับ และยังกำหนดไว้ว่าจะนับให้กี่คะแนนต่อรอบการประมวลผล จากภาพนี้สมมุติว่าแผนระบุว่าจ่าย 25% ของขาอ่อน พอมีการสั่งซื้อมา 2000 คะแนน ก็จ่าย 2000x25% = 500 เป็นต้น

ที่บอกว่าไม่ต่างกันก็คือ ทั้งสองระบบนี้ต้องรอให้มีคะแนนมาทั้งสองขา ไม่ว่าจะไบนารี่ ที่รอจับคู่ หรือ ระบบขาอ่อน และขาแข็ง ที่ต้องรออีกขาส่งคะแนนมาเพื่อพิจารณาว่าขาไหนส่งคะแนนมาได้น้อยกว่ากัน ไม่มีคะแนนมาเปรียบเทียบก็ไม่สามารถรู้ได้ ว่าขาไหนอ่อน แล้วจะคำนวณได้อย่างไรจริงไหมครับ เอาเข้าจริงก็จะพบว่า "มันก็อย่างเดียวกันนี่แหละ" ส่วนที่เรียกกันแตกต่างนี้ก็พบว่าบางครั้งก็เป็นด้วยเรื่องของมุมมอง และความถนัดในการอธิบายแผนการตลาดของผู้บรรยายครับ เพราะบางคนกลับมองว่า การอธิบายกับผู้มุ่งหวังด้วยวิธีการว่าแผนเราคิดเปอร์เซนต์จากขาอ่อน มาสองขาเทียบกัน ขาไหน อ่อนดูขานั้น แล้วคูณด้วยเปอร์เซนต์จ่ายที่แผนการตลาดระบุไว้ได้เลย ไม่ต้องรอจับคู่ อันนี้แล้วแต่สไตล์ครับ แต่ผมอยากจะบอกว่าเหมือนกันครับ แม้แต่บางวิธีการที่บอกว่าจ่ายให้จากขาอ่อนเท่านี้เปอร์เซ็นต์ และแถมจากขาแข็งเท่านั้นเปอร์เซนต์ ก็เคยมีให้เห็นครับ แต่พิจารณาดีๆท่านก็จะพบว่าเงื่อนไขเขาล๊อคสเป็คให้ต้องมีทั้งสองขา และการพิจารณาจากขาแข็งนั้นมีเงื่อนไขพิเศษอื่นๆที่อ้างอิงมาจากขาอ่อนนั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม แผนการตลาดที่พิจารณาจากขาแข็งโดยตรงเลย ไม่มีเงื่อนไขใดๆมาควบคุมนั้น ระวังกันให้ดีครับเพราะมีแนวโน้มที่จะกระทำการเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ปั่นเงิน หรือ มันนี่เกมส์ กันอยู่ก็ได้ครับ ต้องฝากไว้สำหรับแฟนๆคอลัมน์นี้นะครับ ถ้าพบแผนการตลาดที่มีเทคนิคแปลกๆ จ่ายกันเยอะๆนี่อย่างไม่น่าจะเป็น ระวังไว้ก่อนเลยครับ อย่าให้เขาหลอกได้ง่ายๆ ศึกษาให้ดีก่อนครับ หรือหากมีแผนแปลกๆก็โทรมาเล่าให้ฟังหน่อยก็ได้ครับจะได้ช่วยกันดูครับ

เรื่องของแผนไบนารี่ ที่ตั้งใจอธิบายลงลึก และเล่ากันมายาวขนาดนี้ เพราะมันมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ได้รับความนิยมนำไปใช้กันหลายบริษัท และปรับใช้เทคนิคกันอย่างหลากหลาย ไบนารี่เหมือนกัน แต่ก็ยังต่างกันได้ ดังนั้นคงค่อยๆเล่ากันไปครับ ฉบับนี้ก็ยังเล่าไม่จบอีกแล้วครับ เอาไว้คุยเรื่องไบนารี่กันต่อฉบับหน้าครับ

สวัสดีครับ

08 สิงหาคม 2551

แผน Binary (2) : ประมวลผล

ครั้งที่แล้วเรายังค้างกันอยู่ที่แผนการตลาดระบบไบนารี่ ซึ่งถือเป็นแผนที่นับวันมักจะนำมาใช้งานกันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะพบว่าแม้จะเป็นแผนระบบเดียวกัน ก็ยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณากันอีกมาก ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของนักธุรกิจเครือข่ายในการเลือกร่วมธุรกิจ และผู้ประกอบการที่จะเลือกใช้แผนการตลาดให้เหมาะสมกันธุรกิจของท่าน ลองมาพิจารณารายละเอียดของแผนกันสักนิดครับ ก่อนจะไปต่อก็ขอเสริมเรื่องของการประมวลผลกันสักนิด เพราะมีท่านผู้อ่านได้ให้เกียรติโทรมาแจ้งว่าอยากให้อธิบายให้ละเอียดขึ้นอีกนิด ผมได้อธิบายไปแล้วครับแต่เกรงว่าอาจมีหลายท่านจึงตัดสินใจเขียนให้รายละเอียดมากขึ้นดังนี้ครับ

ขั้นตอนในการประมวลผลในแผนไบนารี่
เนื่องจากการประมวลผลของแผนการตลาดระบบไบนารี่นั้น จะบังคับโครงสร้างการต่อองค์กร คือสมาชิก 1 ท่านสามารถแนะนำสมาชิกติดตัวได้ 2 ท่าน หรือทีเรียกว่ากันว่า 1 แตก 2 นั่นแหละครับ (คำว่า ไบนารี่ ที่แปลว่า สอง ก็เริ่มมาจากตรงนี้แหละครับ) องค์กรของแต่ละท่านก็เลยแยกออกเป็น 2 องค์กรหรือสองขา คือด้านซ้ายและด้านขวา ที่เรียกว่าขาซ้ายและขาขวานั่นเองครับ สำหรับวิธีการประมวลผลของแผนไบนารี่นั้นน่าสนใจที่จะใช้วิธีการเฉพาะตัวไม่ใช้การเทียบอัตราส่วนเหมือนกับแผนการตลาดอื่นๆ (สำหรับแผนอื่นๆที่เคยกล่าวมาแล้วทั้งหมด ติดตามอ่านได้ที่ http://www.taladvikrao.com และอีกแห่งที่ http://iyaraplanet.blogspot.com ครับ) เรียกว่าการ Balance หรือการทำสมดุลย์ อธิบายให้เห็นภาพก็คือ ระบบประมวลผลจะเปรียบเทียบว่า คะแนนหรือแต้ม (ในบทความนี้ผมขอเรียกว่าแต้มเพื่อให้ต่างจากคำว่า "คะแนน" ที่เราจะต้องใช้อ้างถึงในอีกหนึ่งความหมายครับ) ที่ได้รับจากจากองค์กรด้านใดมีค่าน้อยกว่า ก็จะนำแต้มจากองค์กรด้านนั้นมาเป็นตัวพิจารณา ยกตัวอย่าง เช่น หากทำงานไปแล้วองค์กรด้านซ้ายได้ 2 แต้ม ด้านขวามี 10 เมื่อระบบประมวลผลมาคำนวณโบนัส ก็จะพบว่าองค์กรด้านซ้ายมีแต้มน้อยกว่า จึงนำ 2 แต้มที่ว่านี้ไปใช้พิจารณาโบนัสนั่นเองครับง่ายไปไหมครับ แต่มันง่ายอย่างนี้จริงๆ ส่วนภาษาพูดหรือศัพท์ในวงการเราก็เรียกลักษณะนี้ว่า "จับคู่ได้ 2 คู่" ครับ และจะนำเอาจำนวนคู่ที่ได้ไปลบออกจากจำนวนแต้มที่มีอยู่ในแต่ละขา ในที่นี้ขาซ้ายมี 2 แต้มจึงจะต้องเหลือ 0 และขาขวาที่มี 10 แต้มก็จะเหลือ 8 ครับ สำหรับแต้มที่เหลือก็จะถูกยกยอดไปคำนวณในงวดถัดไปครับ

เอาละครับเมื่อเราพิจารณาได้แล้วว่าได้ 2 คู่ จะนำเอาจำนวนคู่ที่หาได้ มาคำนวณโบนัสด้วยการ คูณ กับอัตราจ่ายที่กำหนดไว้ในแผนการตลาดแล้วว่า "จ่ายคู่ละเท่าไหร่" ก็เอามาคูณเข้ากับจำนวนคู่ที่ได้ จึงจะออกมาเป็นโบนัส เช่น แผนการตลาดระบุว่าจ่ายคู่ละ 500 ก็เอา 500 x 2 = โบนัส 1000 บาท (ง่ายๆแบบนี้เลย)

ที่เล่ามาเสียยืดยาวและเป็นขั้นเป็นตอนนี้ ก็เพื่อจะให้เข้าใจวิธีการได้ดีขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับแผนไบนารี่นั่นเองครับ เพราะพบว่าบางท่านทำงานในแผนการตลาดระบบ StairStep , Unilevel มากันเสียจนชินพอมาเจอการประมวลผลแบบนี้ก็ไม่เชื่อแถมอุทานว่า "มันคำนวณง่ายไปหรือเปล่าคะ" , "คำนวณแบบนี้จริงๆเหรอ" เป็นต้น

เอาละครับคราวนี้มาถึงความแตกต่างของแผนการตลาดในส่วนที่จะทำให้แผนการตลาดทำงานต่างกัน แม้จะเรียกว่าเป็นระบบ Binary เหมือนกัน เราจะแบ่งลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้ครับ

1. แบ่งตามวิธีการนับแต้มที่ใช้ประมวลผล
ธุรกิจขายตรงหรือธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้องนั้น การจะได้โบนัสมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการบริโภคสินค้าของผู้ที่เราไปแนะนำครับ สำหรับแผนการตลาดแบบไบนารี่ก็เช่นกัน เมื่อสมาชิกที่เราแนะนำมามีการบริโภคสินค้า ซึ่งแต่ละชิ้นจะมีการระบุคะแนนเอาไว้ว่าชิ้นละกี่คะแนน ซึ่งคะแนนนี้อาจจะเท่ากับมูลค่าเงินบาทหรือไม่เท่าก็ได้นะครับ เช่น สินค้า A จำนวน 1 ชิ้นราคา 1000 บาท ได้รับ 1000 คะแนน , สินค้า B จำนวน 1 ชิ้นราคา 800 บาท ได้ 500 คะแนน เป็นต้น จุดสำคัญ อยู่ที่ว่าแต่ละบริษัทฯ จะกำหนดเกณฑ์ไว้ว่าต้องบริโภคสินค้าให้ครบกี่คะแนนจึงจะนำไปประมวลผลหรือนับเป็น 1 แต้ม (ดังที่กล่าวแล้วว่าผมขอเรียกคะแนนที่นำไปจับคู่เป็นแต้ม เพื่อกันความสับสน) ให้กับผู้แนะนำตามลำดับชั้นสูงขึ้นไปในสายงาน (ในแผนไบนารี่นั้นการส่งแต้มให้กับผู้แนะนำนั้นมักไม่จำกัดจำนวนชั้น) เช่น ตั้งเกณฑ์ไว้ว่า 3000 คะแนนต่อ 1 แต้ม เป็นต้น ซึ่งสมาชิกจะมีวิธีการบริโภคจนครบตามเกณฑ์ได้หลายวิธี เช่น
- บริโภคสินค้า A จำนวน 3 ชิ้น (1000x3 = 3000) หรือ
- บริโภคสินค้า A จำนวน 1 ชิ้น และสินค้า B จำนวน 4 ชิ้น (1000+(500x4) = 3000)
- หรือเลือกบริโภคอย่างไรก็ตามให้คะแนนไม่ต่ำกว่า 3000 คะแนน

และที่แตกต่างกันในประเด็นนี้ก็คือ ผู้ประกอบการแต่ละบริษัท จะมีวิธีการกำหนดวิธีการพิจารณาแปลงคะแนนบริโภคสินค้าไปเป็นแต้มต่างๆกันออกไป แต่สรุปได้ 2 ประเภทครับ คือ

1.1. พิจารณาตามรหัสสมาชิก
วิธีนี้จะกำหนดเกณฑ์เกี่ยวข้องโดยตรงกับสมาชิกแต่ละท่านเป็นหลัก ทุกรหัสสมาชิกจะต้องบริโภคจนครบตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ในแผนการตลาด เช่น หากกำหนดไว้ว่าต้องครบหรือมากกว่า 3000 คะแนนขึ้นไป จึงจะเป็นศูนย์ธุรกิจสมบูรณ์ สมาชิกก็ต้องบริโภคให้ครบตามเกณฑ์ จึงจะสามารถนับเป็น 1 แต้ม (คะแนนที่นำไปพิจารณาโบนัสแบบจับคู่ดังที่กล่าวแล้ว) และส่งให้กับผู้แนะนำตามชั้นสายงานได้ หากยังไม่ครบจะไม่นับแต้มให้ และคะแนนการบริโภคก็จะถูกสะสมรอไว้ก่อนจนกว่าจะครบตามเกณฑ์ และอาจมีการลบล้างคะแนนออกตามที่กำหนด (ถ้ามีกำหนดไว้) ในแผนการตลาด

1.2. พิจารณาจากคะแนน
วิธีนี้ดูจะยืดหยุ่นกับสมาชิกมากกว่า เพราะการนับจากคะแนนที่บริโภคจริงโดยไม่ต้องรอให้สมาชิกแต่ละท่านบริโภคสินค้าจนครบตามเกณฑ์จึงจะได้รับแต้มมาพิจารณาโบนัส คือเราจะได้แต้มจากการ หาร กล่าวคือ นำคะแนนที่บริโภคในแต่ละรอบการประมวลผลของสมาชิกในองค์กรทั้งหมด หารด้วยเกณฑ์ที่กำหนดไว้เช่น 3000 คะแนนต่อหนึ่งแต้ม เป็นต้น ดังนั้นด้วยวิธีการนี้สมาชิก 1 รายบริโภค 3000 คะแนนก็จะได้ 1 แต้ม หรือสมาชิก 3 ราย บริโภครายละ 1000 คะแนนก็จะได้ 1 แต้มเช่นกัน (ซึ่งต่างกับวิธีการที่ 1.1 ที่เมื่อมีสมาชิก 3 รายบริโภครายละ 1000 คะแนนก็จะไม่ได้ซักแต้มเลย แต่จะมีคะแนนรอไว้รายละ 1000 คะแนน รอการบริโภคให้ครบ 3000 คะแนนเมื่อไหร่จึงจะได้แต้มครับ)

สำหรับคำถามว่าแบบใดจะดีกว่ากันนั้น คงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะกล่าวครับ เพราะการกำหนดเกณฑ์คะแนนที่ว่ากี่คะแนนบริโภคจึงจะนับเป็นหนึ่งแต้ม หรือการกำหนดว่า กี่บาทจึงจะนับเป็นหนึ่งคะแนน ก็ยังเป็นทางเลือกที่จะทำให้แผนการตลาดของบริษัทนั้นๆ "ดูดีหรือดูด้อย" กว่าแผนของบริษัทอื่นได้เช่นกัน แต่มีข้อสังเกตุว่า แบบ 1.1 มีข้อดีเรื่องของน้ำหนักของคะแนนกับโบนัสที่ได้รับคือ จำนวนโบนัสที่ได้ต่อคู่มีแนวโน้มจะมากกว่าแบบ 1.2 และมักจะใช้ได้ดีกับบริษัทที่มีสินค้าไม่มากและสินค้าหลักมีคะแนนใกล้ๆกับเกณฑ์ที่กำหนด ส่วนแบบ 1.2 อาจจะเหมาะกับบริษัทที่มีสินค้าหลากหลายรายการ และคะแนนของสินค้าแต่ละรายการค่อนข้างห่างกับเกณฑ์ที่ระบุ และอาจหมายถึงโบนัสต่อคู่อาจต่ำกว่าแบบ 1.1 เล็กน้อย

เอาละครับเรื่องแผนการตลาดระบบไบนารี่มีอีกหลายเรื่อง หลายมิติที่คงต้องยกมาพูดกันต่อกันในตอนหน้าครับ อย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนละครับ และหากมีคำถามก็อย่าเกรงใจครับสอบถามกันมาได้ครับ
สวัสดีครับ

การตัดสินใจที่ดี

- ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่มากพอ และมีน้ำหนัก
- ตัดสินใจแล้วเกิดความแตกต่าง
- มีมาตรฐานหรือมีโครงสร้างการตัดสินใจ มีเหตุมีผล
- ตัดสินใจในจังหวะที่เหมาะสม ไม่รีบ แต่ไม่เลื่อนหรือชะลอการตัดสินใจโดยไม่จำเป็น

เก็บข้อมูลใน CD ต้องระวัง

ข่าวนี้มาจากนิตยสาร PC World, เขารายงานผลวิจัยพบว่า ผู้คนจำนวนมาก เลือกเก็บข้อมูลภาพ เพลงประทับใจ และข้อมูลสำคัญๆ ไว้ในแผ่นซีดีอาร์ โดยหวังว่าจะเก็บไว้เป็นสิบๆ ปี คำตอบก็คือ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เมื่อแผ่นซีดีอาร์ส่วนใหญ่ มีอายุการใช้งานได้แค่ 2-5 ปี ตามแต่คุณภาพของแผ่น เพราะแผ่นซีดีอาร์ เก็บข้อมูลได้โดยระบบความร้อนของหัวเลเซอร์เครื่องเขียนแผ่น ซึ่งเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง วัสดุและสารเคมี ณ จุดที่มีการเขียนอ่านข้อมูลนั้น ก็อาจจะมีการเปลี่ยนสภาพไป


กรณีที่เขียนข้อมูลแล้วเก็บแผ่นซีดีอาร์ไว้เฉยๆ ณ ห้องติดแอร์ ไม่ร้อน ไม่ชื้นจัด แผ่นเหล่านี้อาจจะเก็บได้นานถึง 10 ปี แต่ถ้าเก็บไว้ที่ห้องที่ร้อนอบอ้าว หรือไว้ในรถที่ตากกลางแดด นอกจากแผ่นจะเสียรูปร่างแล้ว ข้อมูลก็จะหายไปด้วยเช่นกัน

ถ้างั้น..หันไปใช้เทปเก็บข้อมูล หรือฮาร์ดดิสก์ดีไหม ? คำตอบก็คือ เทปเป็นตัวเก็บข้อมูลที่ให้อายุการใช้งานสูงสุด คือประมาณ 30 ปีขึ้นไป แต่..เทป ไวต่อความร้อน สนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากๆ ที่สำคัญ เวลาเก็บไว้นานๆ ต้องมีการ retension หรือมีการวิ่งเทปให้ยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อปรับความตึงของเส้นเทปให้เหมาะสม ดังนั้น เทปที่เก็บไว้ที่ห้องธรรมดา ไม่ใช่ห้องแอร์ ก็อาจจะเก็บข้อมูลได้เพียง 5-10 ปีเช่นกัน และยิ่งเก็บไว้ที่ร้อนจัด หรือบริเวณที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตลอดเวลา เช่น ข้างเครื่องทีวี ปั๊มน้ำ มอเตอร์ ฯลฯ ข้อมูลที่หวงแหนไว้ ก็อาจจะมลายหายไปง่ายๆ เหมือนกัน ดังนั้น บรรดาเทป mini DV ที่ถ่ายรูปแต่งงานหรืองานบวช ก็ต้องเก็บไว้ในที่เย็น ไม่ชื้น และไม่มีสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวน มิฉะนั้น..ก็หาย

เก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ โดยเฉพาะ external harddisk ดีไหม คำตอบก็คือ ก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะวิธีการเก็บข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ ก็ใช้การเหนี่ยวนำไฟฟ้าบนจานฮาร์ดดิสก์ พอนานไป ความเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะเสื่อมหายได้เหมือนกัน ดังนั้น เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ อาจจะเก็บได้นาน 8-10 น้อยกว่าเทปเสียอีก และที่สำคัญ อาจจะพลัดตก แล้วหัวอ่านเสียอีกก็ได้

ดังนั้น เก็บข้อมูลไว้ที่ไหนดี ? คำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ Flash Memory ครับ*** ด้วยความสามารถในการอ่านเขียนที่ได้มากถึง 100 ล้านครั้ง ถ้ามีการอ่านเขียนวันละ 100 ครั้ง ก็จะมีอายุการใช้งานมากถึง "หลายพันปี" และถ้าชั่วโมงๆ หนึ่งมีการอ่านเขียนมากถึง 1,000 ครั้ง ก็จะมีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปี
และด้วยคุณสมบัติที่หน่วยความจำแบบนี้ ไม่มีชิ้นส่วนเครื่องกลเหมือนฮาร์ดดิสก์และเทป ทำให้โอกาสที่จะผิดพลาดเนื่องจากกลไกต่างๆ น้อยลงไปอีก ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าไว้กับตัวของมัน ก็ดีกว่าเทป ฮาร์ดดิสก์ และซีดีอาร์

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าคุณจะใช้หน่วยความจำแบบไหนเก็บข้อมูล ก็ขอให้เก็บรักษาไว้ในที่ๆ อุณหภูมิไม่สูง ไม่มีคลื่นไฟฟ้ารบกวน และที่สำคัญ ต้องหมั่นนำกลับมาใช้ ปีละครั้งก็ยังดี เพื่อชาร์จประจุ ขยับหัวอ่านและกลไกต่างๆ รวมทั้ง เพื่อสำรวจว่า หน่วยความจำของคุณ "ยังจำ" ข้อมูลของคุณอยู่หรือเปล่า

ที่มา : mcot variety << เห็นมีประโยชน์เลยเก็บมานำเสนอครับ