19 มิถุนายน 2551

แผน BreakAway และ Matrix

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในครั้งที่แล้ว ผมได้เล่าให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบเกี่ยวกับแผนการตลาดระบบ Stair Step ซึ่งจัดเป็นแผนการตลาดระบบแรกๆ ที่นำมาใช้กันในธุรกิจเครือข่าย และในครั้งนี้ผมจะขอเล่าต่อด้วยเรื่องของแผนการตลาดระบบถัดมาคือระบบ Breake Away และระบบ Matrix ครับ ซึ่งเป็นระบบที่ว่านี้จัดได้ว่าเป็นระบบที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากระบบ Stair Step ที่ได้กล่าวไปแล้ว สำหรับท่านที่พลาดอ่านเนื้อหาตอนที่แล้วไป เพื่อความต่อเนื่องท่านสามารถเข้าไปติดตามอ่านย้อนหลังได้จากเว็บไซต์ของทางตลาดวิเคราะห์นะครับ

ระบบ Breake Away (เบรกอะเวย์) - นั้นแปลตรงตัวว่าแตกออก,หักออกนั่นเองครับ คำนี้เป็นคนละคำกับ Brake ที่หมายถึงทำให้หยุดครับ อย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่า แผนการตลาดระบบนี้เป็นการพัฒนาเพื่อแก้ข้อด้อยจากระบบ Stair Step นั่นเองครับ ลักษณะพิเศษของแผนการตลาดระบบนี้คือจะมีการตรวจสอบและ แยกคะแนนของดาว์นไลน์และองค์กรใต้สายงาน ออกจากองค์กรของผู้แนะนำ หากพบว่าดาว์นไลน์ท่านนั้นมีคุณสมบัติเทียบเท่าหรือสูงกว่าคุณสมบัติของผู้ที่เป็นอัพไลน์ เอาล่ะครับบางท่านอ่านมาถึงตรงนี้ก็จะเริ่มเกิดคำถามในใจแล้วว่า แล้วมันจะดีกว่าระบบเดิมได้อย่างไร? ก็ไหนว่าพัฒนามาจากระบบ Stair Step ไงล่ะ?

ก่อนจะตอบคำถามนี้ผมจะขอย้อนกลับไปพูดถึงข้อด้อยของระบบ Stair Step สักเล็กน้อยครับ ข้อด้อยที่สำคัญของระบบ Stair Step ก็คือ เมื่อก้าวเข้าสู่คุณสมบัติสูงสุดของแผนแล้ว แรกๆรายได้ก็ดีอยู่ถูกต้องไหมครับ แต่ต่อมาหากมีสมาชิกในทีมทำคุณสมบัติเทียบเท่าได้ รายได้ก็จะลดฮวบ หรือหดหายไปทันทีครับ ทั้งนี้เนื่องมาจากรายได้ในแผนการตลาดระบบดังกล่าวมาจากส่วนต่างของเปอร์เซนต์ผลตอบแทนไงครับ เมื่อตำแหน่งเท่ากัน เปอร์เซนต์ผลตอบแทนก็จะเท่ากัน ส่วนต่างจึงไม่มี ผลลัพธ์ก็คือไม่มีรายได้นั่นเองครับ ปัญหาก็คือ สมาชิกที่มีคุณสมบัติในระดับสูงจะรู้สึกไม่มั่นคงจากการที่ทีมงานเก่งและขยันทำคุณสมบัติไล่ตามมาทัน

ดังนั้นระบบ Brake Away จึงออกแบบโดยพุ่งประเด็นมาที่เรื่องตำแหน่งชนกันโดยตรงครับ ทางแก้ก็คือตัดออกไป โดยเมื่อพบว่าผลงานใต้องค์กรเติบโตขึ้นจนตำแหน่งชนกัน ก็จะยกคะแนนที่เกิดจากสมาชิกคนนั้นและองค์กรใต้ล่างออก เพื่อไม่ให้คำนวณซ้ำซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบเหมือนกับเป็นรางวัลที่สร้างทีมงานจนประสบความสำเร็จเพื่อเป็นรายได้ชดเชย และคำนวณในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น คำนวณจ่ายเป็น Level (ชั้น) โดยอาจกำหนดเป็นชั้นลึก 1-3 ชั้นหรือมากกว่า และกำหนดเปอร์เซ็นต์จ่ายที่ชัดเจนลงไปในแต่ละชั้น บ้างก็จะกำหนดชั้นลึกสุดเป็น infinity คือไม่จำกัดจำนวนชั้น (ซึ่งจะกลายเป็นแนวคิดของระบบ UniLevel นั่นเองครับ เรื่องของ Level จะอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ในเรื่องของแผนการตลาดระบบ UniLevel นะครับ โปรดติดตาม)

โดยการคำนวณจ่ายโบนัสแบบ BreakAway นั้น ก็จะคำนวณจ่ายให้ผู้แนะนำ ทุกรอบของการคำนวณตราบเท่าที่สมาชิกใต้องค์กรท่านนั้นจะรักษาคุณสมบัติไว้ได้เหมือนเดิม ซึ่งสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับสมาชิกได้พอสมควรครับ เพราะเมื่อปรับมาใช้เป็นแผนระบบนี้แล้วเกิดตำแหน่งชนกันแล้วก็ยังมีรายได้อยู่ จากที่กล่าวมาท่านจะเห็นว่าอย่างไรก็ตามระบบหลักๆก็ยังเป็นแบบ สแตร์สเตป อยู่ดีครับ จนเรียกกันติดปากว่าระบบ สแตร์สเตป-เบรกอะเวย์ นั่นเองครับ





ระบบ Matrix (เมทริกซ์) - ชื่อนี้ฟังดูดีมากๆเลยนะครับ เหมือนกับชื่อของหนังภาพยนต์แนวเทคโนโลยีชื่อดังเลยทีเดียวครับ หลักการของแผนการตลาดระบบนี้เน้นการขยายแนวกว้าง คือแนะนำติดตัวให้เยอะๆ เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ในแนวลึก หรือได้ผลประโยชน์หลายชั้นขึ้นนั่นเองครับ

ระบบนี้ก็พัฒนาจากระบบ Stair Step อีกเช่นกันครับ โดยมุ่งเน้นให้ผู้นำมีการขยายตลาดด้วยการแนะนำผู้อื่นเข้าร่วมธุรกิจมากขึ้น โดยการจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก แนะนำมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น จะเห็นว่าแนวกว้างและแนวลึกมีความสัมพันธ์กัน เหมือน Matrix นั่นเองครับ ระบบนี้ดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่กลับไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากการขยายแนวกว้างหรือการแนะนำติดตัวนั้น แม้จะทำให้ผู้แนะนำเกิดผลงานมากขึ้นก็จริงอยู่ครับ แต่ในระยะยาวศักยภาพในการดูแลองค์กรที่มีอยู่อย่างจำกัด มากน้อยต่างกันในแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่อง เวลา และการดูแลติดตาม เหมือนกับกิจการทั่วไปนั่นแหละครับเมื่อมีศักยภาพจำกัดแต่ไปเน้นปริมาณ คุณภาพที่ได้ก็ลดลงไงครับ

และเมื่อดูแลองค์กรไม่ทั่วถึงและเกิดปัญหาตามมาในที่สุด เช่น องค์กรใต้ล่างทำงานไม่เป็นหรือขาดศักยภาพเพราะขาดการดูแลเอาใจใส่ ดังนั้นเมื่อเอาแผนระบบ Matrix มาใช้จริงก็พบว่าการขยายองค์กรแนวกว้างเยอะๆนั้นการดูแลติดตามทำได้ยาก เมื่อทำได้น้อยหรือไม่ค่อยได้ทำ กลไกที่จะเกิดรายได้ในชั้นลึกจึงไม่เกิดครับ และนั่นเป็นเหตุผลว่าเหตุใดระบบ Matrix จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงหรืออาจมองว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในระบบ Stair Step นั่นเองครับ แต่ไม่แน่นะครับปัจจุบันนี้ด้วยเทคนิคการสื่อสารที่ทันสมัยและมีให้เลือกหลายช่องทาง รวมถึงความรู้เรื่องการตลาดเครือข่ายมีมากขึ้น ทั่วถึงขึ้น ได้รับการยอมรับมากขึ้น เราอาจเห็นระบบ Matrix ฉบับปรับปรุงใหม่ลดข้อด้อยเสริมข้อเด่นแล้วกลับมาเป็นตัวเลือกในระบบการตลาดเครือข่ายอีกครั้งก็เป็นได้

ทั้งระบบ BreakAway และระบบ Matrix เป็นเทคนิคของแผนการตลาดระบบ Stair Step ที่หยิบยกนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการของแผนการตลาดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนครับ และกรุณาอย่าพลาดในตอนหน้า ผมจะเล่าถึงแผนการตลาดระบบ UniLevel กันต่อ โปรดติดตามครับ

05 มิถุนายน 2551

แผน Stair Step

กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับคอลัมน์ System Focus ซึ่งเน้นเนื้อหาสาระเชิงวิชาการเกี่ยวกับ ระบบช่วยสำเร็จต่างๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครับ โดยผมจะนำมาเสนอท่านผู้อ่านด้วยการอ้างอิงกับสิ่งที่เห็นเชิงประจักษ์ได้ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจครับ รับรองว่าคอลัมน์นี้ "อ่านไม่ยากและมากด้วยสาระ" ครับ สำหรับเนื้อหาในตอนที่แล้วผมตั้งใจที่จะให้ท่านผู้อ่านทราบคร่าวๆ เกี่ยวกับระบบแผนการตลาดในธุรกิจเครือข่าย และเหมือนจะตั้งใจมากไปหน่อยเพราะทาง บก. ท่านแจ้งมาว่าผมลืมแนะนำตัว อันเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่บ้างในการเปิดคอลัมน์ใหม่ครับ

ผมจึงขออนุญาตใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยแนะนำตัวกับท่านในครั้งนี้เลยครับ ผมจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยของรัฐฯแห่งหนึ่งครับ โดยระหว่างการศึกษาปีที่ 3 ก็รับงานเป็น Freelance ไปด้วย หลังจากจบแล้วก็เข้าทำงานในบริษัทฯต่างๆ ซึ่งก็เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาและระบบฐานข้อมูลตลอดมาราวๆ 8 ปี และจากนั้นก็เข้าสู่งานในกลุ่มธุรกิจเครือข่ายโดยรับหน้าที่พัฒนาระบบการประมวลผลโบนัส และระบบงานอื่นๆของธุรกิจเครือข่ายครบวงจร ทำอยู่หลายบริษัทฯ และในที่สุดก็เข้าร่วมงานกับบริษัทฯแห่งหนึ่งในฐานะผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศ (ผมไม่ตั้งใจจะปิดบังชื่อบริษัทฯครับ แต่ที่ไม่ออกชื่อก็เพื่อความเหมาะสมของเนื้อหา) ซึ่งปรากฏว่าด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวอื่นๆทั้งระบบมาประกอบกัน ภายในช่วงเวลา 5 ปี บริษัทฯแห่งนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจนจัดว่ามียอดประกอบการเป็นอันดับ 3 ของธุรกิจเครือข่ายในขณะนั้น และยังถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจเครือข่ายที่มีการประมวลผลโบนัสเป็นรายวันอีกด้วย และจากการที่เห็นการเติบโตตั้งแต่แรกเริ่มในฐานะที่เป็น "คนหลังฉาก" ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจแง่มุมต่างๆของระบบการบริหารจัดการภายในโดยละเอียด จึงเชื่อมั่นว่าคอลัมน์ System Focus จะสามารถนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านได้เป็นอย่างดีครับ

เอาละครับเมื่อรู้จักทักทายกันแล้วก็ขอวกเข้าเรื่องกันเลย ด้วยเนื้อหาเจาะลึกลงรายละเอียดของแผนการตลาดระบบต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วทีละแผน ครั้งนี้เริ่มกันที่แผน Stair Step กันก่อนครับ แล้วอย่าลืมติดตามแผนระบบอื่นๆแบบเจาะลึกในตอนหน้ารับรองว่าคุ้มค่ากับการติดตามครับ

แผน Stair Step - ดังที่เคยกล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่าแผนระบบนี้นั้นแต่ละระดับชั้นจะกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ (ขอใช้คำทับศัพท์แทนคำว่าอัตราส่วนนะครับ) ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ และเวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณโบนัสขั้นต้นออกมา แล้วตัดจ่ายโบนัสส่วนของทีมงานระดับล่างออกไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเราลองมาดูภาพประกอบและตัวอย่างกันครับ

จาก ภาพที่ 1 จะเห็นได้ว่าตำแหน่งแต่ละตำแหน่งจะถูกกำหนดเปอร์เซนต์ผลตอบแทนเอาไว้ต่างๆกัน และจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับชั้นที่สูงขึ้นครับ ในภาพนี้ผมก็สมมุติเอาว่าจ่ายเปอร์เซนต์ตามนี้ครับ สำหรับ ภาพที่ 2 ผมขอยกตัวอย่างว่า ก,ข,ค,ง และ จ. เป็นสมาชิกในองค์กรเดียวกัน โดย ก. เป็นผู้แนะนำ ข. และ ข. เป็นผู้แนะนำ ค. , ง. , จ. ต่อกันลงมาตามลำดับ และสมมุติให้ ก. อยู่ในตำแหน่ง 50% ข. อยู่ในตำแหน่ง 40% ส่วนคนอื่นๆ ก็ลดหลั่นลงมาตามลำดับ (ตรงนี้ถ้าสับสนรบกวนย้อนกลับไปอ่านอีกสักรอบนะครับ)


เอาล่ะครับ คราวนี้เรามาดูวิธีการคำนวณโบนัสกันบ้าง ก่อนอื่นจะต้องหา ยอดรวมคะแนนในองค์กร ของแต่ละคนก่อนครับ ในแผนการตลาดระบบนี้ยอดรวมฯจะเกิดขึ้นจาก ยอดบริโภคส่วนตัว + ยอดบริโภคขององค์กรครับ ในตัวอย่างผมสมมุติให้สมาชิกทุกคนบริโภคสินค้าคนละ 100 คะแนน ดังนั้นนาย ก. ซึ่งเป็นผู้แนะนำของทุกคนจะมียอดรวมเป็น 100 ส่วนตัว + 400 ที่มาจากยอดของ ข,ค,ง และจ รายละ 100 จึงมียอดรวมเป็น 500 คะแนนครับ ส่วนคนอื่นก็ลดหลั่นกันลงมาตามตารางครับ

การหาโบนัสขั้นต้นของ ก. ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับโบนัส 50% จากยอดรวมฯ (ตามภาพที่ 1) ก็คือ 50% ของ 500 = 250 ครับ แต่ยังเป็นเพียงโบนัสขั้นต้นครับ ยังรับไม่ได้ เพราะยังต้องไปหักโบนัสขั้นต้นที่ทีมงานจะต้องได้รับออกเสียก่อน ก็คือโบนัสขั้นต้นของ ข. นั่นเองครับ ซึ่งเราคำนวณได้ว่าโบนัสขั้นต้นของ ข. นั้นคือ 160 (ยอดนี้มาจาก ข. มียอดรวมคะแนน 40% ของ 400 = 160) แสดงว่าจะต้องตัดจ่ายให้ ข. ไป 160 เหลือ 90 จริงไหมครับ และนี่คือโบนัสสุทธิที่ ก. จะได้รับครับ เอาล่ะครับ เราก็ทำวิธีเดียวกันนี้กับสมาชิกทุกราย ก็จะได้ผลลัพธ์เป็นโบนัสให้กับสมาชิกทุกคนครับ มาถึงตรงนี้ผมอยากให้ข้อสังเกตุครับว่าเปอร์เซนต์สูงสุดที่จ่ายออกให้กับสมาชิกระดับสูงในแผนระบบนี้ (เฉพาะระบบนี้เท่านั้นนะครับที่ดูแบบนี้ ระบบอื่นต้องดูที่อื่นครับ) จะเท่ากับเปอร์เซนต์ที่บริษัทฯต้องจ่ายโบนัสออกมาครับ เช่นจากตัวอย่างนี้เท่ากับบริษัทฯผู้ประกอบการจ่ายโบนัสออกมา 50% กันเลยทีเดียว ถ้าลองคำนวณกลับไปดูคุณจะพบว่าหลังจ่ายโบนัสออกไปแล้ว บริษัทฯจะเหลือเงินอยู่ 250 ครับ (ตัวอย่างก็คือตัวอย่างนะครับ)

ความจริงแล้วมีอีกส่วนที่ต้องคำนึงถึงในแผนการตลาดแบบนี้ และผมเจตนาข้ามไปก่อนแล้วมาอธิบายภายหลังก็คือ การทำคุณสมบัติ อันเป็นที่มาของสิทธิ์ในการได้รับโบนัส ที่คุณก. ได้เปอร์เซนต์ มากกว่าคุณข. ก็เพราะตรงนี้แหละครับ การทำคุณสมบัตินั้นเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ว่าต้องมียอดคะแนนสะสมรวมกันเท่าไหร่จึงจะก้าวขึ้นสู่อัตราโบนัสที่น่าสนใจมากขึ้นครับ และส่วนมากแผนระบบนี้ก็ให้โอกาสสะสมคะแนนไปได้ตลอดไม่มีการล้างคะแนน เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงขึ้นได้แม้เพียงซื้อบริโภคก็ตามครับ

เอาล่ะครับคราวนี้เรามาสรุปกันครับว่า ลักษณะเด่นของแผนระบบนี้ คืออะไร
1. ทำคุณสมบัติหรือขึ้นตำแหน่งได้ง่าย เพราะการขึ้นตำแหน่งมักใช้เงื่อนไขว่าต้องมียอดรวมองค์กรเท่าไหร่ ซึ่งก็ยอดรวมจากการบริโภคของตนเองและทีมงานไม่จำกัดจำนวนชั้น และแผนระบบนี้มักสะสมคะแนนไว้ให้ ไม่จำกัดเวลา,ไม่ล้างคะแนนทิ้ง ตรงนี้น่าจะโดนใจกลุ่มมองธุรกิจนี้เป็นรายได้เสริมจริงไหมครับ เพราะแม้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ถ้าไม่ล้มเลิกอย่างไรเสียก็มีโอกาสขึ้นตำแหน่งแน่นอน
2. เนื่องจากแผนไม่ซับซ้อนมาก และใช้การคำนวณพื้นฐานเท่านั้น จึงทำให้สามารถอธิบาย , ทำความเข้าใจ และนำไปปฏิบัติได้ง่าย
3. ระบบสนับสนุนให้เกิดการทำงานในแนวกว้าง เนื่องจากผู้ที่แนะนำสมาชิกมากกว่าย่อมมีโอกาสได้รับโบนัสสูงกว่า และทำให้เกิดความมั่นคงกับผู้ประกอบการโดยอัตโนมัติ เพราะแม้ทีมงานสายใดหยุดงาน สายอื่นก็ยังทำงานต่ออยู่ ผลประกอบการจากแผนระบบนี้จะไม่วูบวาบครับ

เมื่อมีข้อเด่นก็มีข้อด้อยอยู่บ้าง ดังนี้ครับ
1. ตำแหน่งแซงกันยาก เนื่องจากใช้ยอดรวมจากองค์กรทำให้อัพไลน์หรือคนข้างบน มีโอกาสขึ้นตำแหน่งไปก่อนดาว์นไลน์ทุกครั้ง (สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยชอบระบบลักษณะนี้อย่าเพิ่งโวยนะครับ อ่านต่อข้อ 2 แล้วคุณอาจจะรู้สึกดีขึ้น)
2. ตำแหน่งชนกันแล้วรายได้ตก หรือขาดรายได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ทีมงานทำคุณสมบัติจนได้ตำแหน่งเดียวกันหรือสูงกว่า รายได้จะลดฮวบหรือหายไปทันทีครับ เช่นในตัวอย่างถ้านาย ข.ได้เปอร์เซ็นต์เท่ากับนาย ก. เราจะเห็นว่ารายได้เกือบทั้งหมดจะถูกตัดจ่ายไปให้นาย ข. นาย ก. จะเหลือโบนัสเพียงนิดหน่อยครับ อันเป็นที่มาของตำแหน่งสูงแล้วไม่ค่อยได้เงิน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องตั้งเงื่อนไขการขึ้นตำแหน่งด้วยยอดรวมองค์กรที่ค่อนข้างสูง เพื่อให้ผู้ที่ขึ้นตำแหน่งก่อนได้รับโบนัสเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้อาจตั้งราคาสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูงด้วย และบริษัทฯยังต้องดำเนินการจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในการขยายองค์กรแนวกว้างเพื่อแก้จุดอ่อนในเรื่องตำแหน่งชนกัน
3. หยุดทำงานไม่ได้ จากการที่ตำแหน่งชนกันแล้วรายได้ตก จึงมีแรงกดดันให้สร้างคนใหม่เรื่อยๆ เมื่อคนใหม่ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และเท่ากับตนเองในที่สุดก็ต้องสร้างคนใหม่กันไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ก็คือหยุดทำงานได้ยากครับ (เว้นแต่ว่าทีมงานของท่านไม่อยากเลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น) จึงมักพบว่าอาจเกิดการกีดกัน เตะถ่วง ไม่สนับสนุนให้ทีมงานขึ้นตำแหน่งมาเทียบเท่าตนเองเพราะเกรงจะเสียรายได้ครับ
4. สำหรับการขยายงานในแนวกว้าง (ภาษาเทคนิคเราเรียกว่า แนะนำมาติดตัว นั่นแหละครับ) แม้จะดีกับผู้ประกอบการ แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และทำให้ศักยภาพของผู้นำในการช่วยเหลือทีมงานในแนวลึกลดลง ส่งผลให้เกิดปัญหาภายในองค์กรสมาชิกตามมา

เอาล่ะครับขอจบแผน Stair Step ไว้เพียงเท่านี้ ส่วนตอนหน้าผมจะเล่าเรื่องแผนระบบอื่นต่อไปอย่าลืมติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ

ไบนารี่ ผู้ดีหรือผู้ร้าย?

ในธุรกิจเครือข่ายนั้นปัจจัยที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จอย่างมากอีกส่วนหนึ่งก็คือ แผนการปันผลตอบแทน (compensation plan) หรือที่เราเรียกกันติดปากในวงการธุรกิจเครือข่ายว่า แผนการตลาด (Marketing Plan) นั่นเอง เนื่องจาก แผนการตลาด มีผลอย่างมากต่อแรงจูงใจให้เข้าร่วมธุรกิจ เพราะเกี่ยวพันโดยตรงกับผลตอบแทนที่จะได้รับ แผนการตลาด จึงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องออกมาหลายแบบ เช่น Stair Step , Stair Step – Brake Away , Matrix , Uni-Level , Binary ซึ่งแผน Binary ในบ้านเมืองเรานั้นดูเหมือนจะถูกใจนักธุรกิจเครือข่ายหลายราย แต่เมื่อการออกแบบแผนการตลาดให้จูงใจมักไปเริ่มตั้งโจทย์ไว้ที่การนำเสนอผลตอบแทนสูงๆ เพื่อให้โดนใจสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ เราจึงมักจะพบว่า แผนการตลาดนั้นๆ ก็มักถูกนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องมือสำหรับพวก 18 มงกุฏใช้ในการต้มตุ๋นหลอกลวงผู้คนทั่วไปด้วยการนำเสนอให้เข้าร่วมลงทุน และรอรับผลตอบแทนที่สูงจนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ง่ายๆ และหนึ่งในแผนการตลาดที่ถูกนำมาใช้ในแง่นี้มากที่สุดก็คือแผนการตลาดตระกูล Binary ดังนั้นเพื่อค้นหาว่าแผน Binary นั้นมีความถูกต้องหรือไม่ อย่างไร และเป็นพระเอก หรือ ผู้ร้าย ในวงการธุรกิจเครือข่ายกันแน่? ลองมาพิจารณาข้อมูลที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ครับ

เนื่องจากระบบธุรกิจเครือข่ายนั้นมีมานานแล้ว โดยเฉพาะประเทศในฝั่งตะวันตก ดังนั้นเพื่อหาข้อมูลนี้เราจึงเลือกข้อมูลจากเว็บไซต์ mlminsider.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีการให้บริการข้อมูลของธุรกิจเครือข่าย โดยเมื่อดูจากประวัติการจดทะเบียนชื่อโดเมนแล้วพบว่าจดทะเบียนก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 15 สิงหาคม 1996 (2539) หมายถึงได้เปิดใช้งานมาไม่ต่ำกว่า10 ปี ที่น่าสนใจก็คือ เว็บไซต์แห่งนี้มีกิจกรรมเปิด (บุคคลทั่วไปสามารถเข้าดูข้อมูลได้) และดำเนินธุรกิจในลักษณะเป็นเว็บท่า (Portals web) ของธุรกิจเครือข่าย และมีบริการครบวงจรไม่ว่าจะเป็นการ จัดอันดับธุรกิจเครือข่ายที่น่าสนใจประจำปี , สถิติต่างๆ , ข้อมูลสินค้าของแต่ละบริษัท , มี E-Book ให้ Download , มีโพลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มลูกค้าแยกผู้ชายผู้หญิง และมีการจำหน่ายสื่อการศึกษาพัฒนาศักยภาพผู้นำต่างๆ และอีกมากมายครับ ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ เว็บแห่งนี้เปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจมาลงทะเบียนข้อมูลต่างๆของตนไว้ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์แห่งนี้ได้รับทราบ โดยเป็นบริการฟรี และมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำข้อมูลขึ้นแสดง และข้อมูลนี้เองเป็นที่เราจะนำมาพิจารณากันในวันนี้ครับ

อย่างที่ได้เกริ่นมาแล้วจะพบว่าเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมข้อมูลของวงการธุรกิจเครือข่ายในซีกโลกตะวันตกไว้เยอะพอสมควรทีเดียว ได้รับความเชื่อถือและนำไปใช้อ้างอิงในบทความหลายฉบับ และสื่อหลายเล่ม โดยส่วนของการลงทะเบียนผู้ประกอบการนั้น มีผู้ประกอบการให้ความสนใจมาลงทะเบียนไว้ 302 บริษัท (ข้อมูลล่าสุด! เก็บข้อมูลในเดือนพฤษภาคม 2551) เพื่อให้กระชับต่อการทำความเข้าใจ ผมได้ทำสรุปเป็นแผนภูมิแท่งที่แสดงอยู่นี้ครับ ส่วนพิจารณาจากข้อมูลแล้วพบอะไรนั้น ติดตามอ่านกันต่อเลยครับ


แผนภูมิที่ 1 แสดงจำนวนบริษัทฯ ที่เลือกใช้แผนการตลาดแบบต่างๆ





แผนภูมิที่ 2 แสดงจำนวนบริษัท และจำนวนปีที่ประกอบธุรกิจ

จาก แผนภูมิที่ 1 แสดงให้เห็นว่า จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 302 รายมีความนิยมในการใช้แผนการตลาดต่างๆกัน และแผนการตลาดแบบที่ได้รับความนิยมนั้นเป็นแผนการตลาดแบบ Uni-level มากถึง 29.8% , แผน Stair-Step จำนวน 19.86% และ Binary 14.9% นอกนั้นก็คละๆกันไปอีก 35.44% น่าจะบอกได้ถึงการยอมรับว่าแผน Binary นั้นมีความน่าสนใจพอสมควร และแผนภูมิที่ 2 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างที่นำมาใช้นี้เป็นบริษัทที่ประกอบการมาแล้วนานเท่าไหร่ ซึ่งจะพบว่า ในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 302 บริษัทนี้ มีบริษัทที่อยู่มามากกว่า 10 ปี ถึง 129 ราย (42.71%) และที่อยู่มา 7-10 ปีอยู่ 55 ราย (18.21%) นอกนั้นเป็นบริษัทอายุต่ำกว่า 7 ปีลงมา 118 ราย (39.07%)

ที่น่าสนใจก็คือข้อมูลสรุปที่ด้านขวาของ แผนภูมิที่ 2 ครับ เป็นข้อมูลที่ทำให้เราเห็นความนิยมของแผนระบบ Binary ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ ในกลุ่มของบริษัทที่มีอายุน้อยๆ มีแนวโน้มว่าจะใช้แผนกลุ่ม Binary เพิ่มขึ้นทุกปี และที่น่าสนใจกว่านั้น ในกลุ่มที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป และใช้แผน Binary ก็ยังมีให้เห็นถึง 4 บริษัท โดยเฉพาะบริษัท ที่วงการธุรกิจเครือข่ายบ้านเราเคยได้ยินชื่อกันอยู่คือ USANA Health Sciences และ Essentially Yours Industries (EYI) ข้อมูลนี้สามารถยืนยันถึงความนิยมในการใช้แผนการตลาดระบบ Binary ได้เป็นอย่างดี และแม้จะถามถึงความมั่นคงของบริษัทที่เลือกใช้แผน Binary ก็น่าจะเป็นคำตอบให้ท่านได้ว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามสำหรับการนำไปใช้กับกลุ่ม 18 มงกุฎ,แชร์ปั่นเงิน,มันนี่เกมส์ นั้นคงต้องฝากภาครัฐหาทางควบคุมกันต่อไปครับ ขอเพียงแต่อย่าตั้งประเด็นว่า บริษัทฯที่ใช้แผนการตลาดระบบ Binary เป็นบริษัทที่ต้องตรวจละเอียดหรืออย่ามองว่าผิดไว้ก่อนเลยครับ เพราะในอดีตที่เห็น แชร์ปั่นเงินต่างๆ ก็มีมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ แผนการตลาดยังเป็นระบบ Stair-Step อยู่เลยครับ