ดร.บีซี วูฟเวอร์ตัน นักวิทยาศาสตร์ประจำสถาบันวิจัยอวกาศองค์การนาซาของอเมริกาได้ทำวิจัยมากว่า 25 ปี ค้นพบถึงประสิทธิภาพของการกำจัดสารพิษหรือมลภาวะในอากาศของไม้ประดับ และได้เขียนหนังสือเรื่อง Eco-Friendly House Plant แนะนำไม้ประดับที่มีความสามารถดูดไอพิษจากอากาศเช่น สารพิษ ฟอร์มาดิไฮด์ แอมโมเนีย ไซลีน ทูลีน ฯลฯ จำนวนถึง 50 ชนิด
ธรรมชาติสร้างให้ไม้ประดับเล็กๆ มีความสามารถดึงดูดจุลินทรีย์ให้มาอยู่บนหรือรอบๆรากของมันซึ่งมีความย่อยสลายโครงสร้างอินทรีย์สารที่ซับซ้อนได้ใบของต้นไม้ยังสามารถดูดซับสารอินทรีย์ที่เป็นแก๊สและย่อยหรือถ่ายโอนของเสียไปยังรากเพื่อใช้เป็นอาหารสำหรับจุลินทรีย์ เหตุนี้เองทำให้ไม้ประดับสามารถดูดสารพิษได้อีกทั้งกระบวนการ “คายน้ำ” ก็เป็นอีกวิธีที่พืชใช้เคลื่อนย้ายสารที่เป็นมลพิษ ไปยังจุลินทรีย์ที่อยู่รอบๆรากของมันกระบวนการคายน้ำต้องใช้กระแสความร้อน ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศในขณะที่น้ำไหลจากรากขึ้นไปยังส่วนต่างๆ ของพืชอย่างรวดเร็วอากาศจะถูกดึงลงไปสู่ดินรอบๆรากก๊าซออกซิเจนและก๊าซ ไนโตรเจนในอากาศเมื่อถูกดึงไปอยู่ที่รากก๊าซไนโตรเจนจะถูกเปลี่ยนไปโดย จุลินทรีย์เป็นไนเตรทกลายเป็นอาหารของพืชกระบวนการคายน้ำและสังเคราะห์อาหารได้เองของพืชจำพวกไม้ประดับนี่เองที่ดูดสารพิษ
นั่นก็เพราะต้นไม้โดยเฉพาะจำพวกที่อยู่ในตระกูลไม้ประดับ เป็นพืชที่มีการปรับตัว และเติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงน้อย และสามารถดูดสารพิษด้วยกรรมวิธีการคายน้ำ โดยจะทำการดูดก๊าซพิษที่อยู่รอบๆ ลงสู่ดินและจุลินทรีย์ที่อยู่รอบๆ รากจะเป็น ตัวเปลี่ยนให้สารพิษเหล่านั้นกลายไปเป็นอาหารของพืชนั่นเอง
ไม้ประดับที่แนะนำ
เข็มริมแดง ,หนวดปลาหมึก ,เศรษฐีรับเงิน ,แววมยุรา ,เศรษฐีเรือนใน ,เดหลี ,เขียวหมื่นปี ,โกสน ,เศรษฐีเรือนนอก ,พลูด่าง ,หมากเหลือง ,จั๋ง ,ปาล์มไผ่ ,ยางอินเดีย ,ไอวี่ ,สิบสองปันนา ,ไทรใบเล็ก ,บอสตันเฟิร์น ,วาสนาอธิษฐาน ,เบญจมาศ ,เยอบีร่า ,ประกายเงิน ,มรกตแดง ,ออมทอง ,สาวน้อยปะแป้ง ,ปาล์มใบไผ่ ,ไทรย้อยใบแหลม ,ฟิโลเดนดรอน ,ฟิโลใบหัวใจ ,ลิ้นมังกร ,ฟิโลหูช้าง ,สนฉัตร ,เสน่ห์จันทร์แดง ,กล้วยแคระ ,กล้วยไม้พันธุ์หวาย ,ดอกหน้าวัว ,ต้นคริสต์มาส ,หางจระเข้ ,สับปะรดสี ,กุหลาบหิน
ที่มา : http://www.milliontreesforking.com/help.rhtml
อ้างอิง : หนังสือไม้ประดับดูดสารพิษ โดย คมสัน หุตะแพทย์
อ่านเพิ่ม :
http://www.siamcaladium.com ชุมชนคนรักบอนสี
http://bbw.ac.th/data_bbw/activity/project_science/seicnes/flower/flower.html โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องไม้ประดับดูดสารพิษ
แนะนำความรู้เรื่องไอทีกับธุรกิจเครือข่าย แผนการตลาดและเทคนิคการทำงาน
โทรศัพท์ : 084-092-5555 Email : iyaraplanet@gmail.com Twitter : @b_kittisak
30 มิถุนายน 2553
11 มิถุนายน 2553
หัดเรียนรู้จากอดีตไว้บ้่าง
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนัก ไม่ว่าประสบการณ์ในอดีตจะเลวร้ายแค่ไหน พวกเรามักจะพากันลืมเหตุการณ์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการจะนำเอามาวิเคราะห์ จุดประเด็นคิด ว่าทำไมมันจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นได้ นั่นคือ พวกเรามักจะให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ เรื่องราวในอดีต กันน้อยมากๆ ซึ่งนี่เองเป็นที่มาของ "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย" ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันนี้ผมจะมาชวนท่านทั้งหลายย้อนอดีตกันครับ เริ่มจากเราก่อนก็ได้ ย้อนไปถึงวันที่ท่านผิดพลาด ล้มเหลว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านผิดตรงไหน และจะแก้ไขมันอย่างไรหากท่านสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยหากท่านจะคิดไม่ออกว่าท่านผิดอย่างไรบ้าง เพราะคนเรามีกลไกป้องกันตัวเองทางจิตวิทยา เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของตัวเราเอง เรามีตรรกะประหลาดๆ ดังนี้ครับ
1. หากประสบความสำเร็จเป็นเพราะเรานี่แหละ แต่หากล้มเหลวเป็นเพราะคนอื่น หรือบางคนเป็นนักกีฬาก็บอกว่า ชนะก็เพราะทีมเราเก่งโค้ชเก่ง แต่พอแพ้ขึ้นมาก็บอกว่า ฝ่ายตรงข้ามเล่นโกง กรรมการตัดสินลำเอียง ฯลฯ ผมคงไม่ต้องขยายความประโยคนี้นะครับ มันชัดเจนอยู่แล้ว แต่หากท่านไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากันครับแสดงว่างท่านเป็นคนซื่อตรงต่อตัวเองมากๆ ทั้งชีวิตไม่เคยมีความลำเอียงใดๆ
2. เราเคยคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะล้มเหลว แต่ที่ทำมานี่ก็เพราะยอมทำตามใครบางคนสั่งให้ทำแบบนั้น ในการตัดสินใจเลือกสิ่งใดๆคนเรามักจะมีความคิดสองด้านอยู่แล้วครับ ยิ่งท่านเป็นคนมีเหตุผลมากเท่าไหร่ ท่านยิ่งจะเกิดการชั่งน้ำหนักของทางเลือกทั้งหมดว่าแบบไหนดีอย่างไร และเมื่อท่านเลือกผิดท่านก็จะกลับไปคิดได้ว่า ว้า..รู้งี้ทำแบบนั้นซะดีกว่า เราเข้าใจถูกแล้วแต่เลือกผิด อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะการเลือกผิดก็เพราะอาจอยู่ในอาการถูกกดดัน ถูกบีบด้วยเวลา ถูกคะยั้นคะยอต่างๆ แต่เมื่อคิดถูกหรือประสบความสำเร็จจากความคิดนั้น เรื่องที่เราเคยชั่งใจไว้และให้น้ำหนักหรือชอบๆด้านที่สุดท้ายไม่ได้เลือกอยู่บ้าง เรากลับลืมมันไปเสียทันที! (แปลกไหมล่้ะครับ)
ตรรกะประหลาดทั้งสองข้อนี้แหละครับที่สำคัญ หากเรายังใช้ตรรกะแบบนี้อยู่ ผมเชื่อว่าท่านจะมีความสุขดำรงชีวิตอยู่ได้ตามประสา และมีความมั่นใจในตัวเองได้อยู่บ้างตามธรรมชาติ แต่หากท่านไม่เคยมีโอกาสโทษตัวเองได้อย่างเที่ยงธรรมเลย ท่านก็จะเป็นคนที่อ่อนแอและเป็นคนปัดความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าท่านจะได้รับผลอย่างไร ท่านก็ไม่เคยคิดว่าตนเองผิดเข้าแบบจริงๆจังๆ จนกระทั่งต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะนำท่านไปสู่การไม่รู้จักเรียนรู้ และไม่พัฒนา เพื่อศึกษาความจริงข้อนี้ผมอยากแนะนำว่า หากเป็นไปได้ท่านควรบันทึกเหตุผลและการตัดสินใจเลือกทำหรือไม่ทำสิ่งใด เลือกตอบหรือไม่ตอบอย่างไร เพราะเหตุใดไว้ทุกครั้ง แล้วท่านจะหลีกเลี่ยงตรรกะประหลาดๆที่ผมเรียกว่า กลลวงทางจิตใจ ออกมาได้ และเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ในที่สุด ใช่ครับ ผมแนะนำให้ท่านจดบันทึกส่วนตัว เหมือนๆกับที่มืออาชีพหลายๆคนที่ต้องใช้การตัดสินใจแก้ปัญหา หรือตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกอะไรบางอย่าง โดยที่การกระทำแต่ละครั้งค่อนข้างสำคัญและเกิดผลไม่ทางดีก็ทางร้ายอย่างชัดเจน เมื่อจดบันทึกไว้ท่านจะทราบทุกอย่างตามความเป็นจริง และสิ่งที่เราเรียนรู้จากอดีต คือประสบการณ์นั่นเอง
หวังว่าหัวข้อนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านทั้งหลายบ้างตามสมควร ขอบคุณที่ติดตามครับ
ไอยรา
วันนี้ผมจะมาชวนท่านทั้งหลายย้อนอดีตกันครับ เริ่มจากเราก่อนก็ได้ ย้อนไปถึงวันที่ท่านผิดพลาด ล้มเหลว ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านผิดตรงไหน และจะแก้ไขมันอย่างไรหากท่านสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยหากท่านจะคิดไม่ออกว่าท่านผิดอย่างไรบ้าง เพราะคนเรามีกลไกป้องกันตัวเองทางจิตวิทยา เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของตัวเราเอง เรามีตรรกะประหลาดๆ ดังนี้ครับ
1. หากประสบความสำเร็จเป็นเพราะเรานี่แหละ แต่หากล้มเหลวเป็นเพราะคนอื่น หรือบางคนเป็นนักกีฬาก็บอกว่า ชนะก็เพราะทีมเราเก่งโค้ชเก่ง แต่พอแพ้ขึ้นมาก็บอกว่า ฝ่ายตรงข้ามเล่นโกง กรรมการตัดสินลำเอียง ฯลฯ ผมคงไม่ต้องขยายความประโยคนี้นะครับ มันชัดเจนอยู่แล้ว แต่หากท่านไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่ากันครับแสดงว่างท่านเป็นคนซื่อตรงต่อตัวเองมากๆ ทั้งชีวิตไม่เคยมีความลำเอียงใดๆ
2. เราเคยคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะล้มเหลว แต่ที่ทำมานี่ก็เพราะยอมทำตามใครบางคนสั่งให้ทำแบบนั้น ในการตัดสินใจเลือกสิ่งใดๆคนเรามักจะมีความคิดสองด้านอยู่แล้วครับ ยิ่งท่านเป็นคนมีเหตุผลมากเท่าไหร่ ท่านยิ่งจะเกิดการชั่งน้ำหนักของทางเลือกทั้งหมดว่าแบบไหนดีอย่างไร และเมื่อท่านเลือกผิดท่านก็จะกลับไปคิดได้ว่า ว้า..รู้งี้ทำแบบนั้นซะดีกว่า เราเข้าใจถูกแล้วแต่เลือกผิด อะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะการเลือกผิดก็เพราะอาจอยู่ในอาการถูกกดดัน ถูกบีบด้วยเวลา ถูกคะยั้นคะยอต่างๆ แต่เมื่อคิดถูกหรือประสบความสำเร็จจากความคิดนั้น เรื่องที่เราเคยชั่งใจไว้และให้น้ำหนักหรือชอบๆด้านที่สุดท้ายไม่ได้เลือกอยู่บ้าง เรากลับลืมมันไปเสียทันที! (แปลกไหมล่้ะครับ)
ตรรกะประหลาดทั้งสองข้อนี้แหละครับที่สำคัญ หากเรายังใช้ตรรกะแบบนี้อยู่ ผมเชื่อว่าท่านจะมีความสุขดำรงชีวิตอยู่ได้ตามประสา และมีความมั่นใจในตัวเองได้อยู่บ้างตามธรรมชาติ แต่หากท่านไม่เคยมีโอกาสโทษตัวเองได้อย่างเที่ยงธรรมเลย ท่านก็จะเป็นคนที่อ่อนแอและเป็นคนปัดความรับผิดชอบต่อสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าท่านจะได้รับผลอย่างไร ท่านก็ไม่เคยคิดว่าตนเองผิดเข้าแบบจริงๆจังๆ จนกระทั่งต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะนำท่านไปสู่การไม่รู้จักเรียนรู้ และไม่พัฒนา เพื่อศึกษาความจริงข้อนี้ผมอยากแนะนำว่า หากเป็นไปได้ท่านควรบันทึกเหตุผลและการตัดสินใจเลือกทำหรือไม่ทำสิ่งใด เลือกตอบหรือไม่ตอบอย่างไร เพราะเหตุใดไว้ทุกครั้ง แล้วท่านจะหลีกเลี่ยงตรรกะประหลาดๆที่ผมเรียกว่า กลลวงทางจิตใจ ออกมาได้ และเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ในที่สุด ใช่ครับ ผมแนะนำให้ท่านจดบันทึกส่วนตัว เหมือนๆกับที่มืออาชีพหลายๆคนที่ต้องใช้การตัดสินใจแก้ปัญหา หรือตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกอะไรบางอย่าง โดยที่การกระทำแต่ละครั้งค่อนข้างสำคัญและเกิดผลไม่ทางดีก็ทางร้ายอย่างชัดเจน เมื่อจดบันทึกไว้ท่านจะทราบทุกอย่างตามความเป็นจริง และสิ่งที่เราเรียนรู้จากอดีต คือประสบการณ์นั่นเอง
หวังว่าหัวข้อนี้จะมีประโยชน์ต่อท่านทั้งหลายบ้างตามสมควร ขอบคุณที่ติดตามครับ
ไอยรา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
กลับมาพบกันอีกครั้งในคอลัมน์ System Focus คอลัมน์ที่นำเสนอเรื่องราวในธุรกิจเครือข่ายที่เน้นหนักไปในด้านระบบสนับสนุน หรือระบบช่วยสำเร็จ สำหรั...
-
กลับมาพบกันอีกครั้งสำหรับคอลัมน์ System Focus ซึ่งเน้นเนื้อหาสาระเชิงวิชาการเกี่ยวกับ ระบบช่วยสำเร็จต่างๆ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ครับ โดยผมจ...