22 กรกฎาคม 2551

แผน Binary (1)

สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งในคอลัมน์ System Focus ครับ ซึ่งนำเสนอเรื่องราวเชิงลึกของระบบธุรกิจเครือข่ายที่ยังไม่ค่อยมีใครนำมาเสนอ และขณะนี้กำลังพูดกันถึงระบบแผนการตลาด เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้นให้กับท่านผู้อ่าน เนื่องจากเนื้อหาในคอลัมน์นี้เสนอไปหลายตอนแล้ว และเพื่อการอ่านอย่างต่อเนื่อง หากท่านพลาดอ่านตอนที่ผ่านๆมา สามารถติดตามอ่านได้จากเว็บไซต์ของ นสพ.ตลาดวิเคราะห์ http://www.taladvikrao.com/ และอีกแห่งได้ที่ http://iyaraplanet.blogspot.com หรือหากต้องการสอบถามหรือเสนอแนะใดๆ สามารถเสนอแนะได้โดยตรงที่ iyaraplanet@gmail.com ครับ และสำหรับครั้งนี้มาตามคำสัญญาครับ เนื้อหาเจาะลึกเรื่องแผนการตลาดระบบ Binary เชิญอ่านครับ

แผนการตลาดระบบ Binary (ตอนที่ 1)

ถ้ามีใครถามว่า แผนการตลาดระบบใดในบ้านเราที่มีถูกนำมาใช้มากที่สุด ก็คงมีหลายคนตอบว่าแผนการตลาดระบบ Binary ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่าแผนการตลาดระบบ Binary ดีที่สุดนะครับ แต่เนื่องจากได้รับความนิยมอย่างมากจากบริษัทผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่เปิดเพื่อดำเนินธุรกิจเครือข่ายในปัจจุบันนั้น มักเลือกนำมาใช้หรือปรับใช้เพื่อให้เหมาะสมต่อการแข่งขันนั่นเอง แผนการตลาดระบบ Binary จึงกลายเป็นแผนการตลาดที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดระบบหนึ่งในกลุ่มธุรกิจเครือข่ายบ้านเรา และที่น่าสังเกตก็คือ แผนการตลาดระบบนี้ก็มีทั้งคนชอบและคนชัง ในปริมาณไล่เลี่ยกัน (ผมไม่เคยสำรวจอย่างจริงๆจังหรอกครับ เพียงแต่เมื่อสุ่มสอบถามเพื่อนนักธุรกิจเครือข่ายแล้วพบว่า มีทั้งคนที่ ”ชื่นชอบ และไม่ชื่นชม” ในปริมาณไล่เลี่ยกัน) อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อว่าแผนการตลาดแบบ Binary นั้นมีข้อดีหลายประการ และสามารถหักล้างกับข้อด้อยต่างๆที่หยิบยกมากล่าวกันได้อย่างน่าสนใจ
ดังนั้นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ผมมีความคิดที่จะอธิบายเรื่องแผนการตลาดระบบ Binary ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องแบ่งเป็นหลายตอน และไม่อยากให้ท่านพลาดครับ (อย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนล่ะครับ) แต่ก่อนเราจะคุยกันถึงรายละเอียดอื่นๆในแผนการตลาดระบบ Binary นั้น เราลองมาทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของแผนระบบนี้กันก่อนดีกว่าครับ ซึ่งสำหรับลักษณะพื้นฐานของแผนการตลาดระบบ Binary สามารถแจกแจงได้ดังนี้ครับ

ลักษณะพื้นฐานของแผนการตลาดระบบ Binary

1. รับผลประโยชน์ไม่จำกัดชั้นลึก - เปิดโอกาสให้สามารถรับผลตอบแทนจากคะแนนขององค์กรทั้งหมดโดยไม่จำกัดชั้นลึก หรืออาจจะเรียกว่า Infinity Level นั่นแหละครับ ตรงนี้จะต่างจากแผนการตลาดที่ผมได้บรรยายไว้แล้วในตอนที่ผ่านๆมา ซึ่งจะมีการระบุจำนวนชั้นลึกไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเหตุผลข้อนี้ทำให้แผนการตลาดระบบนี้มีความน่าสนใจอย่างมากครับ

2. ขยายตัวแบบมีเงื่อนไข - ลักษณะการขยายองค์กรนั้นจะระบุรูปแบบชัดเจนว่า 1 หน่วยธุรกิจหรือ 1 รหัสจะสามารถขยายองค์กร หรือแนะนำสมาชิกติดตัวได้ 2 ราย เรียกว่าองค์กรด้านซ้าย และองค์กรด้านขวา

3. การพิจารณาโบนัส - วิธีการคิดคำนวณโบนัสให้สมาชิกนั้น จะพิจารณาคะแนนทั้งสองสายงานมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งวิธีการพิจารณานี้อาจเรียกขานกันไปได้หลายแบบ เช่น จับคู่ หรือ ทำสมดุล (Make Balance) แต่ก็อาจสรุปถึงวิธีการได้ว่าระบบประมวลผลจะพิจารณาว่า องค์กรใดมีคะแนนน้อยกว่าก็จะ “ยึดเอาคะแนนจากองค์กรด้านที่มีคะแนนน้อยนั้นเป็นหลักในการพิจารณา” ซึ่งจะเอาไปคูณกับมูลค่าที่กำหนดไว้ในแผนการตลาดว่าจ่ายให้คะแนนละกี่บาท หรือที่เรียกกันว่าจ่ายให้คู่ละกี่บาทนั่นเองครับ สำหรับข้อนี้หากท่านยังไม่เข้าใจนักอาจดูภาพประกอบด้วยจะทำให้เข้าใจมากขึ้นครับ

4. รอบการประมวลผล - แผนการตลาดระบบ Binary จะมีการคำนวณผลตอบแทนให้ในระยะสั้นๆ เช่นการคำนวณเป็นรายวัน หรือคำนวณเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งปัจจุบันก็มักพบว่าหลายๆบริษัทฯ คำนวณผลประโยชน์เป็นรายวันแต่โอนโบนัสผ่านบัญชีธนาคารให้สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ

5. กำหนดผลประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยธุรกิจในแต่ละรอบ - ถึงแม้แผนการตลาดระบบนี้มีที่มาของคะแนนไม่จำกัดชั้นลึกตามที่อธิบายแล้วในข้อ 1 แต่ก็มีการจำกัดรายได้ของแต่ละรหัสไว้ที่ผลประโยชน์สูงสุดต่อรอบการประมวลผลเช่นหากเป็นระบบที่ประมวลผลเป็นรายวัน ก็จะระบุไว้ว่าแต่ละวันจะได้รับโบนัสสูงสุดไม่เกินกี่บาทเป็นต้น

6. โตขาเดียวไม่ได้เงิน - เนื่องจากระบบการพิจารณาโบนัสเป็นแบบ Balance คะแนนหรือเปรียบเทียบปริมาณคะแนนและยึดเอาคะแนนจากองค์กรที่มีคะแนนน้อยกว่าเป็นหลัง จึงทำให้ผู้ที่มีองค์กรโตมากๆ 1 ข้างและอีกข้างไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเลย (มีคะแนนเป็น 0 อยู่หนึ่งข้าง) ทำให้เมื่อพิจารณามาแล้วก็จะได้คะแนนเป็น 0 และเมื่อเอาไปคูณกับอัตราผลตอบแทนแล้วก็จะได้ 0 บาท หรือไม่ได้โบนัสนั่นเองครับ และหลายๆครั้งข้อนี้ถูกนำมาเป็นจุดโจมตีว่าเป็นจุดอ่อนของแผน Binary แต่หากเป็นแฟนคอลัมน์ System Focus ก็จะทราบข้อเท็จจริงและมองอย่างเป็นกลาง และพบว่า แผนการตลาดระบบอื่นที่โตสายเดียวแล้วเกิด Break-Away ออกไป ก็จะได้รับโบนัสน้อยมากๆ หรือเรียกว่าเกิดอาการ "ไม่ได้เงิน" เช่นกัน จริงไหมครับ

เอาล่ะครับ เราพอจะทราบเรื่องราวคร่าวๆ ของแผนการตลาดระบบ Binary มากันพอหอมปากหอมคอกันแล้ว หากเราจะเดินเข้าไปหาสำรวจหาความจริงในแผนการตลาดระบบนี้กันต่อ ก็ต้องมาจัดระเบียบหรือแยกประเภทของแผนการตลาดระบบนี้กันเสียก่อนครับ โดยการแบ่งประเภทหรือจำแนกเทคนิคที่นำมาใช้ในแผนการตลาดระบบ Binary นี้อาจแบ่งได้จาก"ลักษณะการวางโครงสร้างขององค์กร" และ แบ่งตาม "เงื่อนไขการรับผลตอบแทน" ดังนี้

แบ่งตามเงื่อนไขการรับผลตอบแทน
- พิจารณาจากคะแนน (Point Balance) หรือพิจารณาจากศูนย์ธุรกิจ (Code Balance)
- พิจารณาจากองค์กรขาอ่อน (Weak Leg) หรือพิจารณาจากองค์กรขาแข็ง (Strong Leg)
- มีผลตอบแทนจากโบนัสของทีมงาน (Matching) หรือไม่มีผลตอบแทนจากโบนัสของทีมงาน
- ให้เพิ่มคุณสมบัติ (Upgrade) เพื่อเพิ่มสิทธิในการรับผลตอบแทน
- มีส่วนต่างค่าแนะนำ (โบนัสที่คำนวณจากยอดสั่งซื้อสินค้าของสมาชิกที่แนะนำส่วนตัว)
- มีการจำกัด และไม่มีการจำกัดการครอบครองหน่วยธุรกิจ
- กำหนด หรือไม่กำหนดปริมาณการสั่งซื้อสินค้าต่อรอบการประมวลผล
- มีการใช้ หรือไม่มีการใช้คูปองส่งเสริมการขาย

แบ่งตามลักษณะของโครงสร้าง
- โครงสร้างแบบ 2 ขา , 3 ขา หรือ หลายขา
- มีหรือไม่มีการกำหนดโครงสร้าง

สำหรับรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามฉบับหน้าครับ
สวัสดีครับ

17 กรกฎาคม 2551

เพาเวอร์พอยต์ ติดแฟลช

พูดถึง Flash ในมุมมองของนักคอมพิวเตอร์ เป็นที่รู้กันว่าไม่ใช่ แฟลช ที่เป็นแสงเจิดจ้าสำหรับพกพายามถ่ายรูป แต่เป็นกำลังพูดถึงโปรแกรม Macro Media Flash Animation (ซึ่งมักเรียกสั้นๆว่า FLASH ) ที่สรรสร้างความแปลกใหม่และ Affect ต่างๆ บนหน้าเว็บเพจ จนปัจจุบันเว็บไหนไม่ใช้แฟลชประกอบก็กลายเป็นดูไม่งาม ไม่ล้ำสมัยไปเสียแล้ว บางเว็บก็ยังนำไปสร้างเป็น Banner ของเว็บไซต์ , แต่งขอบด้านข้าง , สร้างโฆษณาสินค้าให้โดดเด่น , ทำแกลเลอรี่ภาพบนเว็บไซต์ แถมบางเว็บยังนำไปสร้างเป็นเกมส์ง่ายๆ เอาไว้ให้ผู้ชมเว็บได้เล่นแก้เซ็งก็สนุกสนานไม่น้อย นับว่ามีประโยชน์ต่อการนำเสนอที่ประยุกต์ได้อย่างมากมายทีเดียวครับ

หันมามองอีกด้านครับ โปรแกรมนำเสนออันดับหนึ่ง คู่ใจของนักบรรยาย ก็คงหนีไม่พ้น Microsoft PowerPoint นั่นเอง และหนึ่งในความใฝ่ฝันของคนใช้ PowerPoint ก็คือ อยากให้งานนำเสนอออกมาสวยงาม แปลกใหม่ กว่าคนอื่นๆ และขณะนี้คุณมีทางเลือกใหม่แล้วก็คือ การนำไฟล์ที่สร้างจากโปรแกรม Flash มาใช้ประกอบงานนำเสนอนั่นเองครับ ก่อนหน้านี้ผมก็คิดว่ามันคงจะยาก และต้องทำอะไรมากมายกว่าจะได้ไฟล์ .SWF (แฟ้มผลลัพธ์จากโปรแกรม MacroMedia Flash Animation) มาแสดงผลใน PowerPoint แต่พอลองค้นหาข้อมูลแล้ว ง่ายจริงๆครับ อยากลองทำดูหรือยังครับ

วิธีทำ
1. เตรียมตัว : เพื่อความราบรื่น ทุกอย่างย่อมมีการเตรียมพร้อมครับ ในเรื่องนี้ก่อนอื่นคุณจะต้องเตรียมไฟล์ .swf ที่อยากจะนำไปใช้งานแสดงเป็นตัวหลัก หรือจะเป็นพื้นหลังของงานนำเสนอ ก็แล้วแต่ครับ เจ้าไฟล์ .swf ที่ว่านี้มาจากการสร้างด้วยโปรแกรม Flash นั่นเองครับ และอย่างอื่นที่ต้องเตรียมก็คืองานนำเสนอ .ppt ของคุณนั่นเองครับ
2. เรียกใช้โปรแกรม PowerPoint

....
....
....

ขออภัย : เนื้อหานี้ยังไม่จบครับ ผมต้องไปทำภาพประกอบมาก่อนเพื่อให้คุณๆ ได้เข้าใจกันได้ง่ายขึ้น โปรดเข้ามาอ่านใหม่เร็วๆนี้ครับ

05 กรกฎาคม 2551

แผน UniLevel

กลับมาพบกันอีกครั้งในคอลัมน์ System Focus คอลัมน์ที่นำเสนอเรื่องราวในธุรกิจเครือข่ายที่เน้นหนักไปในด้านระบบสนับสนุน หรือระบบช่วยสำเร็จ สำหรับในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นเนื้อหาต่อเนื่องจากครั้งที่แล้วที่เล่ามาถึงแผนการตลาดระบบ BreakAway และระบบ Matrix ครับ และครั้งนี้จะเป็นแผนการตลาดระบบ Unilevel
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า ที่เราคุยกันถึงเรื่องราวของแผนการตลาดในธุรกิจเครือข่ายกันมายืดยาวหลายครั้งหลายตอน ทีละส่วนสองส่วน จนบางคนอาจเริ่มอึดอัด หรืออาจจะเริ่มเบื่อๆกันบ้างแล้ว ต้องบอกว่า อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนล่ะครับ เพราะนี่แหละครับเรื่องสำคัญ แม้ว่าความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายจะมีหลายองค์ประกอบ แต่การที่สมาชิกผู้ดำเนินธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ ยาก-ง่าย ขนาดไหน ทำแล้วจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอย่างไร จะนำเสนอธุรกิจ นำเสนอสินค้า หรือออกโปรโมชั่นอย่างไร พฤติกรรมการดำเนินธุรกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของหนทางหรือวิธีการที่จะประสบความสำเร็จได้รวดเร็วเพียงใดนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจแผนการตลาดอีกด้วยครับ จนอาจกล่าวได้ว่า สำหรับธุรกิจเครือข่ายนั้น แผนการตลาดแทบจะกำหนดพฤติกรรมทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคเลยทีเดียวล่ะครับ ดังนั้นอย่าเพิ่งเบื่อกันเสียก่อนล่ะครับเพราะนี้คือสิ่งที่สำคัญมากๆของธุรกิจครับ

แผนการตลาดระบบ Uni-Level

ก่อนอื่นเราลองมาทำให้เข้าใจง่ายๆด้วยการแปลชื่อของระบบนี้แบบตรงๆตัวกันดูก่อนดีกว่าครับ คำว่า Uni หรือ Unique นั้นมีความหมายทำนองว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน, กลุ่มเดียวกัน ส่วน Level ก็มีความหมายทำนองว่า เป็นชั้น ดังนั้นเมื่อแปลตรงตัวง่ายๆก็คือ มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วยนั่นเอง ซึ่งเมื่อเทียบกับแผนการตลาดแบบดั้งเดิมเริ่มแรกคือระบบ Stair Step หรือระบบแบบขั้นบันได ก็จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ

เพื่อความเข้าใจของผู้ที่เพิ่งมาอ่านเจอคอลัมน์นี้ในฉบับนี้เป็นครั้งแรก ผมจึงขอนำระบบ Stair Step มาเล่าสั้นๆให้ฟังอีกครั้ง (แบบสั้นจริงๆครับ)



ระบบ Stair Step นั้นผู้ที่เป็นสมาชิกมีการบริโภคสินค้าครั้งละนิดคราวละหน่อย คะแนนจะถูกสะสมไว้ตามแผนการตลาด และยังนำคะแนนของทีมงานมาสะสมร่วมด้วยสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ตัดคะแนนทิ้ง ดังนั้นผู้เป็นสมาชิกจะค่อยๆได้รับคะแนนรวมสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์การพิจารณา และได้สิทธิ์ในการรับโบนัสที่มากขึ้นตามลำดับ หากแต่เวลาจ่ายโบนัสนั้นเนื่องจากคะแนนเป็นยอดรวมของทั้งกลุ่ม โบนัสที่ได้รับจะต้องถูกหักด้วยโบนัสของสมาชิกในกลุ่มออกเสียก่อน และด้วยเหตุนี้เมื่อสมาชิกได้คุณสมบัติสูงสุดแล้ว และมีสมาชิกใต้องค์กรได้ตำแหน่งเดียวกับตน รายได้จะหดหายไปทันทีครับ

เรื่องนี้คงคล้ายๆกับเมื่อคุณเป็นผู้อำนวยการอยู่ บริหารงานสอนงานจนลูกน้องเก่ง ยอดเติบโตมากๆ จนที่สุดแล้วก็มีการแต่งตั้งคุณสมโชค ลูกน้องเก่าของคุณขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการอีกคน แล้วเอาเงินเดือนของคุณไปจ่ายให้กับผู้อำนวยการคนใหม่ และมีข้อแม้ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งต่อก็ได้ แต่เงินตอบแทนของคุณจะขึ้นอยู่กับผลงานอื่นๆของคุณไม่เกี่ยวกับผลงานของคุณสมโชค ถึงตรงนี้ก็คงได้แค่คิดในใจว่า แหม!!อุตส่าห์ปั้น ถ้ารู้อย่างนี้ล่ะก็....(อ๊ะๆ อย่าได้คิดแบบนี้เชียวนะครับ)



ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาของคุณสมโชค โอ๊ะ!! ไม่ใช่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการชนกันของคุณสมบัติหรือตำแหน่ง แผนการตลาดระบบ Uni-Level จึงกำเนิดขึ้น (ไม่ได้บอกว่า Uni-Level เป็นทางแก้ที่ดีที่สุดนะครับ เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่ใช้กัน เพราะบางบริษัทฯก็ใช้ระบบ Uni-Level เป็นแผนหลักเลยโดยไม่มี Stair Step เข้ามายุ่งเกี่ยว) ซึ่งโดยหลักการพิจารณาโบนัสของระบบ Uni-Level นั้นจะกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และจะจ่ายให้ลึกกี่ชั้นก็กำหนดลงไป ลองดูภาพประกอบท่านก็จะเห็นว่าระบบ Uni-Level จะระบุลงไปชัดเจนว่าชั้นที่เท่าไหร่จ่ายกี่เปอร์เซนต์ และเมื่อประมวลผลจะตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป (โดยมากก็รอบละหนึ่งเดือนครับ) ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ เช่นประมวลผลกันเดือนต่อเดือน พอขึ้นเดือนใหม่ก็ล้างออกเหลือศูนย์คะแนนแล้วว่ากันใหม่เป็นเดือนๆไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาพรวมของระบบก็คือ สมาชิกแต่ละคนจะมีผลตอบแทนที่ได้รับจากองค์กรในแต่ละชั้นระบุไว้ชัดเจน ไม่เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ในคุณสมบัติหรือตำแหน่งใด ปัญหาเรื่องการชนกันของตำแหน่งที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นจึงหายไปทันทีจริงไหมครับ ดังนั้นบริษัทที่เลือกใช้แผนการตลาดหลักเป็นระบบ Stair Step จึงมักออกแบบให้มีระบบ Uni-Level ลงไปด้วยในส่วนที่ตำแหน่งชนกันไงล่ะครับ

มาถึงตรงนี้บางท่านก็อยากทราบว่าแผน Uni-Level มีข้อเสียอย่างไรบ้าง (เพราะที่พูดมาแล้วนั้นเรื่องดีทั้งหมด) ก็ธรรมดานะครับมีเรื่องดีก็มีเรื่องเสีย ที่เห็นชัดก็คือ ระบบ Uni-Level นั้นมีการตัดยอดแต่ละรอบมาคำนวณจ่ายเป็นงวดๆชัดเจน เมื่อคำนวณจ่ายแล้วก็ล้างออกแล้วเริ่มสะสมกันใหม่ และผลประโยชน์ที่ได้รับมักมีการแกว่งตัว เนื่องจากการบริโภคสินค้าของสมาชิกในองค์กรไม่สม่ำเสมอในทุกรอบ ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม การใช้ระบบ RollUp , การให้ผลประโยชน์แบบไม่จำกัดชั้น (Infinity) หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Binary หรือ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นแล้วการล้างคะแนนทิ้งไปในแต่ละรอบการคำนวณจะทำให้ Uni-Level ขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียวครับ

เอาละครับสำหรับเรื่อง Uni-Level คงจบลงเพียงเท่านี้ และครั้งต่อไปอย่าพลาดกับเรื่องราวของแผนระบบ Binary และ Tri-Nary ที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากอีกระบบในปัจจุบัน โดยเฉพาะแวดวงธุรกิจเครือข่ายเมืองไทย
สวัสดีครับ