24 กันยายน 2555

เด็กๆ-ฟ้าฝน-และคนมีหัวใจ

เรื่องนี้เล่าจากเหตุการณ์จริง ที่บันทึกไว้ใน Facebook ของผมก่อนนี้ราวๆปีเศษ หลังจากเกิดเหตุการณ์จริงเพียง 1 คืน ซึ่งภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นยังแจ่มชัดลงรายละเอียดระคนความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องกับความสำเร็จเล็กๆที่หมายว่าจะโตขึ้นตามตัวลูกชาย เลยนึกอยากจะแบ่งปันความรู้สึก หลังจากบันทึกก็ได้แบ่งปันให้เพื่อนๆที่สนิทกันได้อ่าน (ง่ายๆก็เอาไปโม้เขาแหละ) กระทั่งเวลาผ่านมาปีกว่าผมย้อนไปอ่านมันใหม่อีกรอบ ก็ยังคงรู้สึกว่าดูมีอรรถรสกว่าการ สรุปเนื้อหาแบบแห้งๆ "มีแต่เหตุ,ผลและสิ่งควรทำเป็นข้อๆ" ดังนั้นเรื่องนี้น่าประโยชน์กับผู้อื่นหากนำมาขยายเป็นวงกว้างกว่า จึงนำมาโพสต์ไว้ที่นี่ คิดเห็นอย่างไรติชมได้ตามสะดวกครับ

28/07/2011 23.35 น้องก้อง เด็กชายอายุ 2 ปี 11 เดือน 8 วัน นอนกกหมอนข้าง หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขไปเขาหลับไปตั้งแต่สองทุ่มกว่าๆ ในห้องนอนที่เปิดเครื่องควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 27 องศา ในตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิดตามปกติวิสัย หากไม่มีอะไรขัดจังหวะคงนอนแบบนี้ไปได้ถึงเช้า เขา (เขาคนนี้คือเขาคนไหนไม่รู้ได้) เล่าต่อๆกันมาว่าตอนเด็กๆนอนหลับสนิทจะช่วยให้ยืดตัวเติบโตไปพร้อมๆกับสมองและร่างกายน้อยๆนี้จะได้พักผ่อน .... ดูเหมือนคืนนี้จะเป็นคืนที่สงบสุขของเด็กๆอีกหนึ่งคืน

แต่เรื่องของฟ้าฝนจะเอาอะไรแน่นอนได้เล่า ยังไม่ทันจะผ่านพ้นไปถึงเที่ยงคืนก็ปรากฏว่า น้ำฝนร่วงหล่นลงดินรวดเร็วและมากมายประหนึ่งหลังคาท้องฟ้าจะทะลุ เป็นผลให้บรรยากาศโดยรวมมีความชื้นสัมพัทธ์เพิ่มขึ้น และสะดวกต่อการจะแลกประจุไฟฟ้าระหว่างเมฆแต่ละก้อน เกิดเป็นแสงอันวาบสว่างเพียงชั่วครู่อันเกิดจากการ "อิเลกตรอน" เจ้าแหล่งพลังงานในรูปประจุไฟฟ้าตัวน้อยๆ กระโดดออกจากเมฆก้อนหนึ่งไปหาเมฆอีกก้อนหนึ่ง อยู่เป็นระยะๆ อย่างที่เราเรียกกันว่า "ปรากฏการณ์ฟ้าแลบ" เมื่อเกิดแสงวาบครั้งหนึ่งๆ ท้องฟ้าที่มืดมิดเมื่อสักครู่นี้จะกลายเป็นท้องฟ้าสีเทาที่มีแสงสว่างระเรื่อๆ ทั้งยังมีแสงกระพริบ วับวาบ แปลบปลาบ เป็นระยะๆ จากปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ครั้งไหนที่แลกประจุกันมากหน่อยก็จะมี "ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง" อันเกิดจากเสียงที่เจ้าอิเลกตรอนจำนวนมากวิ่งแหวกมวลอากาศดังเสียงครืนๆตามมาเป็น "ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง" ไม่นานนักเกิด "ฟ้าผ่า" ที่ไหนสักแห่งและตามมาด้วยเสียงที่ดังกว่าฟ้าร้องมาก เจ้าเด็กน้อยสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมร้องไห้จ้า เพราะคลำหาแม่ในความมืดไม่เจอ แน่ละแม่ลงไปรีดผ้าอยู่ชั้นล่างตามวิสัยแม่บ้านคนขยัน ย่องหนีลูกออกจากห้องนอนไปด้วยความไวไม่แพ้เจ้าอิเลกตรอน..

เพียงครู่เดียวผู้้เป็นพ่อก็ออกจากห้องทำงานมาถึงตัวลูกชายได้ก่อนแม่ ลูกก้องยังร้องต่อด้วยความกลัวระคนตกใจ "จะเอาแม่ จะเอาแม่อย่างเดียว" ก้องทั้งพูดทั้งปัดป้องและดิ้นหนี ในนาทีที่ตกอยู่ในอารามตกใจจะเห็นได้ว่า "ระบบปกป้องตัวเองตามสัญชาติญาณการเอาตัวรอด" จะเข้ามาควบคุม การคิด การทำ การรู้สึก อย่างเห็นได้ชัดทีเดียวและแสดงแบบเดียวกันนี้โดยไม่แบ่งแยกเด็กหรือผู้ใหญ่นั่นคือ อาการทุรนทุรายจะหนีออกจากสถานการณ์ ขาดสติ ไม่รับฟังสิ่งใดๆ หากไม่ทำให้ได้สติก่อนคงคุยกันได้ยาก พ่อเลยต้องรอและยอมตามให้ลูกสงบลงเล็กน้อย ลูกสงบสติอารมณ์ลงได้รวดเร็วเพราะวางใจจากคำพูดของพ่อว่า "ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร ป๊ะป๋าจะปกป้องน้องเอง" พร้อมการกอดและลูบไปตามแผ่นหลัง เมื่อเริ่มสังเกตเห็นความคืนสติรับรู้เหตุผล ก็เอ่ยถามขึ้นว่า

พ่อ : กลัวมั๊ยลูก ก้องกลัวเหรอลูก
ก้อง : (พยักหน้ารับ) ก้องกลัว
พ่อ : ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรทำร้ายลูกได้ ป๊ะป๋าจะปกป้องน้องเอง (พูดด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมพยักหน้า)

ก้องเป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งแล้ว ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า สัตว์ที่เกิดในหน้าฝน จะชินกับฟ้าร้องฟ้าผ่าได้ดีกว่าเด็กในหน้าร้อน เพราะผมฟังต่อๆมาจากคุณตาคุณยายอีกรอบ มันเป็นเรื่องจริงแต่เป็นกับสุนัขที่ท่านเลี้ยง การพึ่งตนเองและการรับรู้ของมนุษย์ในวัยไม่ถึงปี กับสุนัขวัยไม่ถึงปีนั้นมีความพร้อมแตกต่างกัน สุนัขวิ่งเล่นได้แต่เด็กในวัยนั้นยังหัดเดิน อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นแบบนี้ ด้วยความเป็นพ่อผมไม่อยากให้ "ความตื่นกลัว" อยู่กับลูกผมนานนัก ผมอยากให้ "ความตื่นรู้" เกิดขึ้นและฝังรากลงไปในตัวของลูกน้อยมากกว่า เห็นทีวันนี้จะต้องจัดการซะให้จบ 

ผมค่อยๆดึงตัวลูกมากอด อุ้มเห่ไปมาสลับซ้ายขวา พร้อมใช้มือทำท่าทางประกอบการ อธิบายการเกิดปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้เพราะอะไร เล่าซ้ำๆ ถามซ้ำๆ ตามความเหมาะสมที่เด็กอายุสองขวบกว่าๆจะรับรู้ได้ทั้ง "เหตุ" และ "ผล" ของ "สถานการณ์" ที่เขากำลังเผชิญอยู่ให้ได้มากที่สุด เมื่อความรู้ความเข้าใจถูกบรรจุลงในหัวสมองเรียบร้อย ขณะที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่เห็นฝนฟ้าคะนองกระจายได้อย่างถนัดชัดเจน อาการเกร็งตัวเวลาฟ้าร้องฟ้าผ่า เสียงร้อง หมดไปโดยสิ้นเชิง แม้จะเหลือคราบน้ำตาอยู่บ้าง แต่เมื่อเสียงฟ้าผ่าเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ปรากฏอาการร้องไห้ตกใจกลัวแบบเดิมอีกเลย ผู้เป็นพ่อถามลูกก่อนจะจบกระบวนการและส่งเข้านอนว่า

พ่อ : ก้องไม่กลัวแล้วใช่ไหมลูก (มองตา พร้อมพยักหน้า)
ก้อง : (พยักหน้ารับ) ครับ 
พ่อ : ใช่ลูก ก้องไม่กลัว ก้องแค่ตกใจ
ก้อง : ก้องแค่ตกใจเหรอ (ทวนคำตามรูปถามยืนยันเพื่อบันทึกข้อมูลใหม่..แต่ยังมีอาการสงสัยต่อ)
พ่อ : ใช่แล้วลูก (รีบสำทับรับคำเพื่อบันทึก และป้อนข้อมูลใหม่) ก้องตกใจนิดเดียวเอง เสียงมันดัง แต่ก้องไม่กลัว
ก้อง : (ยิ้มรับ พร้อมพยักหน้า) 

เอาล่ะ...จบกระบวนการ Build Up ของผมแล้ว ผมเห็นแล้วว่าลูกพร้อมจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อย่าง "รู้เหตุรู้ผล" แล้วและในคืนนี้เขาจะหลับอย่างเป็นสุข ตามความคิดของผม (ต่อไปผมอาจเรียกทฤษฏีของผม เพราะทำไปโดยธรรมชาติไม่เคยอ่านจำมาจากที่ไหน) เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก หากเขาระลึกได้ถึงเรื่องนี้ เขาจะไม่กลัวเพราะเขารู้กลไกของมัน มันเกิดอย่างไร และดับลงเพราะอะไร ส่งผลกระทบกับเราอย่างไรบ้าง และเราต้องทำอย่างไรให้ไม่เกิดผลกระทบกับเรา แม้หากเขาตื่นกลัวขาดสติไปบ้างในครั้งต่อไป ผมก็คิดว่าทำเพียงถามนำเขาว่า "นี่มันคือเสียงอะไร..ฟ้าร้องเหรอลูก...มันเกิดจากอะไร?" ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดำเนินไปตาม "ความตื่นรู้" ที่ฝังรากลงในตัวเขาแล้วและค่อยๆเติบโตขึ้นตามการเติมเต็มจากสิ่งรอบข้างต่อไป

 วันนี้ผมเรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกว่า ...
1. ทัศนคติของเรา เปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลที่เราได้รับ ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจที่ถูกต้องจะสามารถเปิดใจและนำเอาข้อมูลใหม่ๆ ใส่ให้เขาและสามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้
2. ความคิดคนที่เปลี่ยนไป สามารถเปลี่ยนการกระทำของเขาได้
3. ชีวิตคนขึ้นอยู่กับความคิดและการกระทำที่แสดงท่าทีออกไปต่อสภาำพแวดล้อม เมื่อความคิดและการกระทำเปลี่ยนไป อาจพูดได้ว่า เราเปลี่ยนหรือปรับ "วิถีชีวิต" ของเขาได้
4. เมื่อเราขาดสติ เรากลายเป็นคนโง่ได้ง่ายๆ
5. เปลี่ยนคนได้ด้วยความคิด พลิกชีวิตได้ด้วยการหยั่งรู้ (รู้เท่าและรู้ทัน) 

หลังจากผ่านคืนนี้ไป ลูกก้อง ของป๊ะป๋าจะ "แค่ตกใจ ...แต่ก้องจะไม่กลัว" ในสถานการณ์ต่างๆ และค่อยๆโตไปพร้อมๆกันทั้งกายและจิต ภาระกิจของพ่อคนนี้ยังไม่จบ บทเรียนใหม่ของเจ้าลูกชายกับพ่อหัวคิดซับซ้อนคนนี้จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป...