18 กันยายน 2552

สูตรสำเร็จหนีโง่ เหยื่อแชร์ลูกโซ่

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 กันยายน 2552, 05:00 น.
http://www.thairath.co.th/content/pol/33677


มีข้อน่าสังเกต ยามที่เศรษฐกิจตกต่ำ มักมีบรรดามิจฉาชีพออกล่อลวงต้มตุ๋นเหยื่อที่ได้รับความเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจอยู่แล้ว ให้ได้รับความเดือดร้อนหนักยิ่งขึ้นไปอีก จริงหรือไม่ดูได้จากปี 2549 จนถึงขณะนี้ มีคดีพิเศษเกี่ยวกับ "ธุรกรรมแชร์ลูกโซ่" ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต้องออกแรงไล่บี้จนลิ้นห้อยอยู่ถึง 20 คดี เมื่อรวมมูลค่าความเสียหายทั้ง 20 คดีแล้วตกประมาณ 1,500 ล้านบาท ยังไม่นับผลกระทบหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่กล้าออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษอีกนับไม่ถ้วน วันก่อนดีเอสไอ กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม จึงได้ร่วมกันจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ให้แก่ประชาชนในหัวข้อ "ทำอย่างไรจึงไม่ตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่" ขึ้นที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์

พงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้แทนจากสมาคมการขายตรงไทยหนึ่งในวิทยากรที่ได้รับเชิญไปบรรยาย เปิดประเด็นเป็นคนแรกว่า สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ประสงค์จะตกเป็นเหยื่อของกลลวงแชร์ลูกโซ่ ก่อนอื่นต้องรู้ว่าข้อแตกต่างระหว่าง การขายตรง(ธุรกิจถูกกฎหมาย) กับ แชร์ลูกโซ่(ธุรกรรมผิดกฎหมาย) อยู่ตรงไหน "ก่อนอื่นให้ดูว่า ถ้าเราจะร่วมธุรกิจกับบริษัทใดแล้วต้องใช้เงินค่าสมัครสมาชิกและค่าอื่นๆ รวมแล้วเป็นเงินหลายหมื่นหรือนับแสนบาทหรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก้อ ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่า มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นแชร์ลูกโซ่" ข้อสังเกตถัดมา พงศ์พสุแนะว่าให้ดูที่รายได้หลักของการสมัครเป็นสมาชิกว่ามีรายได้มาจากไหน ถ้าได้จากการแนะนำให้คนควักเงินมาลงทุนครั้งละเยอะๆ มิใช่ได้จากการแนะนำให้คนมาซื้อสินค้าตัวนั้น ให้สงสัยไว้ก่อนว่ากำลังเข้าไปพัวพันกับแชร์ลูกโซ่ "กรณีที่ใช้สินค้าเป็นตัวล่อเหมือนกัน พวกแชร์ลูกโซ่มักจะแนะนำให้สมาชิกหรือผู้ที่ต้องการลงทุนซื้อสินค้าครั้งละมากๆ หรือซื้อครั้งละเป็นชุด ราคาชุดละหลายพันหรือหลายหมื่นบาท โดยมีเงื่อนไขพิเศษล่อใจ เช่น ถ้าอยากได้เงินหรือผลกำไรคืนมากๆ ต้องไปแนะนำหรือหาคนอื่นมาร่วมลงทุนในลักษณะเดียวกันให้มาก" "แต่ถ้าเป็นธุรกิจขายตรงส่วนใหญ่จะให้ซื้อสินค้าด้วยความสมัครใจ หรือตามความพึงพอใจของสมาชิกแต่ละคน เช่น ใช้สินค้าแล้วติดใจ ซื้อไปแค่คนละ 1-2 ชิ้นก็จบ" พงศ์พสุบอกว่า โดยรวมแล้วให้สังเกต ถ้าเน้นที่การระดมเงินลงทุนเป็นหลัก ไม่ได้เน้นที่พฤติกรรมการขายสินค้า ไม่เน้นที่การอบรม หรือทำการตลาด เพื่อให้ได้ยอดขายสินค้าเพิ่ม ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ทั้งสิ้น เพราะธุรกิจขายตรง รายได้หลักเกิดจากการขายสินค้า ไม่ใช่เกิดจากการชวนให้คนหอบเอาเงินมาลงขันกันเยอะๆ นอกจากนี้ พวกแชร์ลูกโซ่มักไม่ค่อยมีอาคารทำการเป็นหลักแหล่งมั่นคง หรือไม่นิยมลงทุนสร้างศูนย์กระจายสินค้า แต่จะใช้วิธีเช่าสถานที่ทำออฟฟิศ และใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร จัดส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์ เพราะเมื่อถึงเวลาหนี จะได้เผ่นหนีโดยง่ายนั่นเอง "พวกทำแชร์ลูกโซ่ จะรู้จุดอ่อนคนไทยว่า ชอบทำงานอะไรที่ง่ายๆได้เงินเร็วและได้เงินเยอะจึงมักโจมตีธุรกิจขายตรงว่า หมดยุคแล้วจะไปเหนื่อยทำไมกับการตระเวนแนะนำสินค้าตามบ้าน สู้เอาเงินไปให้พวกเขาลงทุนไม่ได้ ไม่ต้องออกแรงขายของให้เหนื่อย ถึงเวลารอรับเงินคืนอย่างเดียว"

ข้อสังเกตของพงศ์พสุแทงใจดำ ดร.สุดาวดี กิตติโพวานนท์ อาจารย์มหาวิทยาลัย แห่งหนึ่ง ผู้เคยตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ เธอเล่าบทเรียนแห่งความผิดพลาดว่า "คนใกล้ชิดเรานี่แหละตัวดีนัก ทำงานอยู่ด้วยกันรักและไว้วางใจกันมาก หลอกเราซะจนเปื่อย" อดีตเหยื่อแชร์ระดับด็อกเตอร์บอกว่า บางทีพวกนี้ใช้ระบบหน้าม้า เช่น บุกเข้าไปในร้านทำผมที่มีไฮโซนั่งกันอยู่เต็มร้าน ทำทีเป็นคุยให้ได้ยินกันทั่วทั้งร้านว่า ลงทุนไปแค่ 120,000 บาท ปีเดียวได้เงินคืนเท่าตัวตั้ง 240,000 บาท เท่านั้นเองหูผึ่งกันทั้งร้าน มีไฮโซตกเป็นเหยื่อหลายคน อ.สุดาวดีเล่าว่า เธอตัดสินใจลงทุนตามคำชี้แนะของเพื่อนรักในกองทุนซื้อขายยางพาราล่วงหน้าแห่งหนึ่ง อ้างว่าปลูกอยู่ที่เกาะลันตา เวลาจัดประชุมสมาชิกทีก็จัดเสียใหญ่โต ที่โรงแรมเลิศหรูที่สุดใน จ.ขอนแก่น ช่วงแรกๆที่เธอนำเงินไปลงทุนกับแก๊งแชร์ลูกโซ่ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาดี สมดังคำคุยของเพื่อนผู้แนะนำแต่ สุดท้ายก็ออกลายจนได้ เมื่อเธอเริ่มสงสัยจึงไปขอถอนเงินคืน แต่ทางกองทุนฯไม่ยอม ในที่สุดถูกทางดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบและดำเนินคดี ทุกคนจึงได้รู้ว่าตกเป็นเหยื่อ ที่สำคัญเหยื่อกลุ่มนี้โดนกันถ้วนหน้า มีทั้งผู้บังคับการตำรวจและผู้ใหญ่บนศาลากลางจังหวัดหลายคน "จากบทเรียนที่ได้รับมากับตัวเอง อยากฝากเตือนไว้ว่า ถ้าเราไม่โลภซะอย่าง ก็จะมองเห็นอะไรอีกหลายอย่าง อยากบอกว่า อะไรก็ตามที่มีคนมาชวนเราลงทุนเกิน 5 พันบาท ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ทั้งนั้น" เหยื่อระดับปริญญาเอก เตือนสติทิ้งท้าย

ธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์ นิติกรชำนาญการพิเศษจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่มักถูกค่อนแคะว่า ได้แต่ตามไล่ คุ้มครอง ไม่ค่อยทันเล่ห์กลของจอมต้มตุ๋น ออกตัวว่า "สคบ.มีหน้าที่หลักดูแลธุรกิจขายตรง ส่วนแชร์ลูกโซ่มีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอเป็นหน่วยงานดูแล แต่เราก็ทำงานประสานกันตลอดเวลา" ธสรณ์อัฑฒ์ บอกว่า ข้อแตกต่างระหว่างแชร์ลูกโซ่กับขายตรงอยู่ที่ธุรกรรมขายตรง รายได้หลักจะมาจากการขายสินค้า ถ้าไม่มีการพูดถึงสินค้าเลย มีแต่เน้นระดมคนหรือระดมเครือข่ายล้วนๆ ถือว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ "สคบ.จะ ดูที่ตัวสินค้าเป็นหลักและดูว่ารายได้หลักมาจากไหน แต่เดี๋ยวนี้มีการพัฒนาขึ้นไปอีก ใช้วิธีเอาแชร์ลูกโซ่มาแอบแฝงกับธุรกิจขายตรง เช่น บางรายไปขอจดทะเบียนทำธุรกิจขายตรงกับ สคบ. พอได้รับใบอนุญาตจาก สคบ. แล้ว แอบไปเปลี่ยนแผนการขาย ให้เป็นการระดมเงินก็มี พวกนี้ต้องระวัง ถือเป็นการขายตรงที่เบี่ยงเบนสู่แชร์ลูกโซ่" ธรณ์อัฑฒ์ บอกว่า ยุคสมัยที่เล่ห์เหลี่ยมทางการค้าแพรวพราว หากประชาชนสงสัย หรือเกรงว่าจะตกเป็นเหยื่อ ก่อนร่วมทำธุรกรรมด้วย อยากทราบว่าเป็นรูปแบบธุรกิจขายตรงที่ถูกต้อง หรือเป็นแชร์ลูกโซ่ สามารถสอบถามไปได้ที่สายด่วน สคบ. โทร.1166

มาถึงพระเอกของรายการ พ.อ.ปิยะวัตก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หน่วยงานเจ้าภาพซึ่งมีหน้าที่ดูแลธุรกรรมแชร์ลูกโซ่ เขาบอกว่า รูปแบบของแชร์ลูกโซ่ นอกจากเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ทุกวันนี้ยังมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีการวางแผนที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น "ธุรกรรมลักษณะนี้ จะใช้วิธีจูงใจให้ประชาชนมาลงทุน โดยเสนอผลตอบแทนสูง ภายในระยะเวลาอันสั้นและใช้เทคนิคแอบอ้างคนสำคัญหรือมีชื่อเสียงในสังคม เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในการขยายเครือข่าย ทำให้มีผู้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อมากมาย" พ.อ.ปิยะวัตก์บอกว่า ในอดีตผู้ที่เข้าไปร่วมลงทุนในระบบแชร์ลูกโซ่ มักเข้าไปเป็นเหยื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผิดกับทุกวันนี้ส่วนหนึ่งของผู้ที่เข้าไปร่วมวงในแชร์ลูกโซ่ เข้าไปโดยสมัครใจ หรือรู้ทั้งรู้ว่าเป็นธุรกรรมผิดกฎหมาย แต่ตั้งใจเข้าไปร่วม เพียงเพราะหวังผลประโยชน์มหาศาล จากการได้รับเงินคืน ในฐานะห่วงโซ่ข้อแรกๆที่ยังไม่ถูกงูกินหาง "จะเห็นว่าเวลาที่ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบหรือสอบสวน จะมีม็อบแชร์ลูกโซ่กลุ่มหนึ่ง ที่ยังได้รับผลประโยชน์จากวงแชร์ไม่เต็มที่ เข้ามาปิดล้อมเจ้าหน้าที่ทำตัวเป็นอุปสรรค แทนที่พวกเขาจะขอบใจเราที่เข้าไปจับกุมให้ ดันโกรธหาว่า ยังไม่ทันได้โกยผลประโยชน์จากเงินที่ระดมมาจากเหยื่อหน้าใหม่ ดีเอสไอดันเข้าไปจับเจ้ามือแชร์ทำให้วงแตกซะก่อน" ผบ.สำนักคดีอาญา พิเศษบอกว่า คนนอกที่ไม่เข้าใจอาจมองว่า ดีเอสไอมัวทำอะไรอยู่ ไม่รีบเข้าไปจัดการ ก่อนที่คนส่วนใหญ่จะกลายเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ "สาเหตุที่เราตัดวงจรนี้ก่อนได้ยาก เพราะไม่มีเจ้าทุกข์หรือผู้เสียหายมาร้องเรียน เพราะยามที่เหยื่อยังได้รับประโยชน์จากแชร์ลูกโซ่ ย่อมไม่มีใครร้องเรียน แต่เมื่อใดที่เจ้ามือแชร์ลูกโซ่เริ่มหาเหยื่อรายใหม่เข้ามาเป็นสมาชิกไม่ได้แล้วเบี้ยวเงิน นั่นแหละถึงจะเริ่มมีคนแห่มาร้อง แต่ก็มักจะสายเกินแก้ เพราะถูกอาชญากรพวกนี้เชิดเงินหนีไปแล้ว"

ได้ข่าวว่าวันนี้ดีเอสไอยุคใหม่ทำงานเชิงรุกมากขึ้น ใช้วิธีแทรกตัวนำเงินเข้าไปร่วมลงทุนกับวงแชร์ลูกโซ่บางราย แล้วหาทางตลบหลังจับยกแก๊ง เตือนกันไว้ใครที่หากินทางแชร์ลูกโซ่ หรือเข้าไปพัวพันทั้งโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ระวังตัวกันไว้ให้หนัก เพราะถ้าถูกดีเอสไอจับเมื่อไร มีสิทธิ์ติดคุกร้อยกันเป็นสายโซ่ทางที่ดี ท่องไว้ให้ขึ้นใจ ถ้าไม่โลภซะอย่าง ไม่มีอะไรต้องระวัง.



ความเห็นเพิ่มเติม : เดี๋ยวนี้โลกพัฒนาการไปเยอะมากโดยเฉพาะวิธีการหลอกลวงต้มตุ๋น ทางที่ดีอะไรที่ง่าย และผลตอบแทนดีเกินไป ควรตรวจสอบให้แน่ใจ และที่สำคัญอย่าให้ความโลภเข้าครอบงำครับ และสำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าธุรกิจที่มีคนมานำเสนอเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ อยากจะโทรมาถามก็เชิญนะครับ ยินดีให้คำปรึกษา (คลิกที่เกี่ยวกับผู้เขียนครับ)